การเริ่มต้นทำธุรกิจมีตัวเลือกให้ตัดสินใจมากมาย นอกจากการเลือกว่าจะขายสินค้าอะไรและจะทำการตลาดยังไง คำถามใหญ่ที่ผู้ประกอบการทุกคนต้องตอบก็คือโมเดลธุรกิจออนไลน์แบบไหนที่เหมาะที่สุด
ไม่มีคำตอบตายตัวสำหรับเรื่องนี้ เพราะแต่ละโมเดลต่างมีทั้งข้อดีและข้อจำกัด ขึ้นอยู่กับสินค้าที่คุณขาย ตลาดที่คุณเจาะ และโครงสร้างต้นทุนของคุณ โมเดลหนึ่งอาจเหมาะสมกับธุรกิจของคุณมากกว่าอีกโมเดลหนึ่งก็ได้
ต่อไปนี้คือภาพรวมของโมเดลธุรกิจออนไลน์หลายประเภท เมื่อคุณเข้าใจลักษณะของแต่ละแบบแล้ว จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจว่าจะวางโครงสร้างธุรกิจขนาดเล็กของคุณไปในทิศทางไหน
พร้อมจะเริ่มต้นธุรกิจแล้วหรือยัง? คุณสามารถสร้างเว็บไซต์ของตัวเองได้ตั้งแต่วันนี้ หรือเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมือของ Shopify ที่ช่วยให้ขายสินค้าได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์
โมเดลธุรกิจออนไลน์ คืออะไร
โมเดลธุรกิจออนไลน์คือกรอบแนวคิดที่อธิบายว่าบริษัทจะดำเนินงานอย่างไรให้มีกำไร ควบคู่กับการส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้า ภายในโมเดลจะระบุทั้งคุณค่าที่นำเสนอ (Value Proposition) กลยุทธ์การตั้งราคา และกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน การสร้างโมเดลที่มีประสิทธิภาพจึงเริ่มจากการนิยามสินค้าหรือบริการของคุณให้ชัด พร้อมคาดการณ์ค่าใช้จ่ายในอนาคต เพื่อความมั่นคงและการเติบโตระยะยาว
ทำไมโมเดลธุรกิจออนไลน์จึงสำคัญ
ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้นธุรกิจหรือดำเนินการมานานแล้ว โมเดลธุรกิจออนไลน์ก็เป็นหัวใจสำคัญ โมเดลที่ชัดเจนช่วยให้คุณเข้าใจลูกค้า สร้างแรงจูงใจให้ทีมงาน เดินหน้าธุรกิจไปในทิศทางเดียวกัน ดึงดูดนักลงทุน และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน ผ่านการค้นหาโอกาสในการเติบโตใหม่ๆ
มองโมเดลธุรกิจของคุณเป็น “สินทรัพย์ที่มีชีวิต” ที่ควรอัปเดตอยู่เสมอ เพื่อให้สอดรับกับเทรนด์และอุปสรรคใหม่ๆ ถ้าคุณวางแผนระดมทุนหรือต้องการหาพาร์ตเนอร์ การพัฒนาและนวัตกรรมในโมเดลธุรกิจเป็นสัญญาณบอกผู้มีส่วนได้ส่วนเสียว่าคุณพร้อมปรับตัวและตอบโจทย์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
5 โมเดลธุรกิจออนไลน์
ปัจจุบันมีโมเดลธุรกิจออนไลน์หลักๆ อยู่ 5 แบบ ได้แก่
- ธุรกิจสู่ผู้บริโภค (B2C)
- ส่งตรงถึงผู้บริโภค (DTC)
- ธุรกิจสู่ธุรกิจ (B2B)
- ผู้บริโภคสู่ผู้บริโภค (C2C)
- ผู้บริโภคสู่ธุรกิจ (C2B)
1. ธุรกิจสู่ผู้บริโภค (B2C)
โมเดลธุรกิจแบบ B2C (Business to Consumer) หมายถึงการทำการค้าระหว่างธุรกิจกับผู้บริโภคโดยตรง ยกตัวอย่างเช่น เวลาคุณไปซื้อของจาก Target นั่นก็คือธุรกรรมแบบ B2C ธุรกิจ B2C อาจอยู่ในรูปแบบอีคอมเมิร์ซ ร้านค้าแบบหน้าร้านจริง หรือผสมผสานทั้งสองแบบก็ได้
2. ส่งตรงถึงผู้บริโภค (DTC)
โมเดล DTC (Direct to Consumer) มักถูกสับสนกับ B2C แต่มีความแตกต่างสำคัญ คือ B2C มักหมายถึงผู้ค้าปลีกที่ขายสินค้าให้ผู้บริโภค ในขณะที่ DTC หมายถึงแบรนด์หรือผู้ผลิตที่ขายสินค้าให้ผู้บริโภคโดยตรง ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์เสื้อผ้า TomboyX คุณสามารถซื้อสินค้าของ TomboyX ได้จาก Target (B2C) หรือจะซื้อจากเว็บไซต์ Shopify ของ TomboyX โดยตรง (DTC) ซึ่งโมเดลนี้ได้รับความนิยมเป็นพิเศษในอีคอมเมิร์ซ โดยเฉพาะช่วงการแพร่ระบาด และยังคงเป็นหนึ่งในโมเดลที่แข็งแกร่งในตลาดออนไลน์
💡 หลายคนถือว่า DTC เป็นหนึ่งในกลุ่มย่อยของ B2C และเพราะเป็นคำที่ค่อนข้างใหม่ เราจะเจาะลึกข้อดีและข้อเสียของการขายในโมเดล DTC ในส่วนถัดไปของบทความนี้
3. ธุรกิจสู่ธุรกิจ (B2B)
โมเดล B2B (Business to Business) หมายถึงการทำการค้าระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ การซื้อขายแบบขายส่งมักถูกจัดอยู่ในหมวดนี้เช่นกัน โดยสามารถเป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ซหรือร้านค้าแบบหน้าร้านจริงก็ได้ และมักพบว่าธุรกิจหนึ่งสามารถดำเนินงานทั้งแบบ B2C และ B2B ไปพร้อมกัน ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์กาแฟอาจขายเมล็ดกาแฟให้ผู้บริโภคบนเว็บไซต์ (B2C) และในขณะเดียวกันขายเมล็ดในปริมาณมากให้กับร้านกาแฟ (B2B)
4. ผู้บริโภคสู่ผู้บริโภค (C2C)
โมเดล C2C (Consumer to Consumer) หรือที่เรียกว่า peer-to-peer คือรูปแบบที่ผู้บริโภคขายสินค้า หรือบริการให้กับผู้บริโภคอีกคนหนึ่ง เช่น การขายโน้ตบุ๊กมือสองบน Facebook Marketplace ก็จัดอยู่ในโมเดลนี้ ผู้ขายรายบุคคลมักเริ่มจากการขายในมาร์เก็ตเพลสออนไลน์ แล้วจึงขยายไปเปิดร้านค้าออนไลน์ เพื่อสร้างแบรนด์และทำกำไรได้มากขึ้น
5. ผู้บริโภคสู่ธุรกิจ (C2B)
การเติบโตของเศรษฐกิจครีเอเตอร์ (Creator Economy) ทำให้โมเดล C2B (Consumer to Business) ขยายตัวมากขึ้น โมเดลนี้หมายถึงผู้บริโภคขายสินค้าหรือบริการของตนเองให้กับธุรกิจหรือองค์กร เช่น การเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่ทำงานร่วมกับแบรนด์ หรือช่างภาพที่ขายภาพถ่ายออนไลน์ นี่คือตัวอย่างโมเดลธุรกิจ C2B
19 ตัวอย่างโมเดลธุรกิจออนไลน์
ภายใน 5 ประเภทหลักของโมเดลธุรกิจ ยังมีอีกหลายโมเดลย่อยที่แตกแขนงออกไป ด้านล่างนี้คือ 19 ตัวอย่างโมเดลธุรกิจออนไลน์ที่คุณสามารถใช้เป็นแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นธุรกิจของคุณเอง
1. โมเดลธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
โมเดลธุรกิจอีคอมเมิร์ซถือว่าเข้าถึงง่ายและปรับใช้ได้หลากหลายที่สุด รูปแบบนี้คือการขายสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการขายผ่านมาร์เก็ตเพลส (เช่น Etsy หรือ Amazon) โซเชียลมีเดีย (เช่น Instagram หรือ TikTok) เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของตัวเอง หรือผสมผสานหลายช่องทางเข้าด้วยกัน แบรนด์ที่ใช้โมเดลอีคอมเมิร์ซอาจเป็นร้านเล็กที่ขายสินค้าทำมือ ไปจนถึงมาร์เก็ตเพลสระดับโลกที่มีสินค้านับพันรายการ โดยทั่วไปแล้ว ธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะดำเนินงานในรูปแบบ B2C, B2B หรือ DTC ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายและเป้าหมายทางธุรกิจ
ข้อดีของโมเดลธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
- เข้าถึงลูกค้าได้กว้าง ร้านค้าออนไลน์ไม่ถูกจำกัดด้วยภูมิศาสตร์ จึงสามารถขายให้กับลูกค้าทั่วโลกได้
- ใช้ต้นทุนเริ่มต้นต่ำกว่า เมื่อเทียบกับการเปิดร้านหน้าร้านจริง ไม่ต้องเช่าพื้นที่ ลดค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้น
- ขยายธุรกิจได้ง่าย ด้วยเครื่องมือและแพลตฟอร์มที่เหมาะสม ธุรกิจอีคอมเมิร์ซสามารถเติบโตและรองรับปริมาณออเดอร์ที่เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ข้อเสียของโมเดลธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
- การแข่งขันสูง พื้นที่ออนไลน์เต็มไปด้วยร้านค้า ทำให้การโดดเด่นและดึงลูกค้าเป็นเรื่องท้าทาย
- พึ่งพาเทคโนโลยี ธุรกิจออนไลน์ต้องพึ่งพาเว็บไซต์และเครื่องมือดิจิทัล หากเกิดปัญหาหรือจำเป็นต้องอัปเดต อาจมีค่าใช้จ่ายสูง
- ความท้าทายด้านโลจิสติกส์ การจัดส่งสินค้า การคืนสินค้า และการจัดการสต็อกต้องอาศัยการวางแผนและทรัพยากรที่ดี
กรณีศึกษาโมเดลอีคอมเมิร์ซที่ประสบความสำเร็จ
SilkSilky เชี่ยวชาญด้านการขายผลิตภัณฑ์ผ้าไหม ภายใต้วิสัยทัศน์ที่ว่าแฟชั่นในอนาคตควรจะสุขภาพดีและสวมใส่สบาย ก่อตั้งขึ้นในเดือนเมษายน 2021 แบรนด์เริ่มต้นด้วยการใช้ Shopify เพื่อสร้างเว็บไซต์ DTC ของตัวเอง และต่อมาอัปเกรดเป็น Shopify Plus เพื่อใช้เครื่องมือที่ทรงพลังยิ่งขึ้น เช่น การจัดการหลายเว็บไซต์เพื่อขยายตลาดต่างประเทศ และฟีเจอร์การปรับแต่งขั้นสูง ผลลัพธ์คือ SilkSilky มียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 680% ภายในสองปี
2. โมเดลธุรกิจค้าปลีก
ค้าปลีก คือการขายสินค้าจากหลากหลายแบรนด์โดยตรงให้กับผู้บริโภค ภายใต้โมเดล B2C วิธีการอาจผสมผสานได้หลายแบบ เช่น การหาสินค้าผ่านซัพพลายเออร์ขายส่ง การผลิตสินค้าของตัวเอง หรือแม้กระทั่งการสร้างไลน์สินค้าแบรนด์ส่วนตัว (เช่น Kirkland ของ Costco) ธุรกิจค้าปลีกอาจอยู่ในรูปแบบร้านค้าหน้าร้านจริง การเปิดร้านชั่วคราวแบบป๊อปอัพสโตร์ หรือออนไลน์ผ่านเว็บไซต์และมาร์เก็ตเพลสอีคอมเมิร์ซ
ธุรกิจค้าปลีกบางส่วนก็สามารถทำงานในรูปแบบ B2B ได้เช่นกัน เช่น ธุรกรรมแบบขายส่ง หรือการขายสินค้าให้กับธุรกิจอื่นๆ ตัวอย่างเช่น หากคุณขายเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน การทำให้ร้านค้าปลีกของคุณรองรับทั้ง B2C และ B2B จะช่วยขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น
ข้อดีของโมเดลธุรกิจค้าปลีก
- สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ดี สำหรับร้านค้าหน้าร้าน คุณมีโอกาสพบปะและพูดคุยกับลูกค้าโดยตรง ทำให้สร้างความสัมพันธ์และความภักดีได้ง่ายขึ้น
- เพิ่มยอดขาย นอกจากการขายออนไลน์แล้ว ร้านค้าหน้าร้านช่วยให้คุณเข้าถึงลูกค้าที่ช้อปในร้านจริง และยังสามารถดึงพวกเขาไปซื้อซ้ำบนเว็บไซต์ได้ด้วย อีกทั้งลูกค้ามีโอกาสสัมผัสและลองสินค้าได้จริง ต่างจากการดูแค่รูปภาพออนไลน์
- ไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดส่ง เมื่อลูกค้ามาซื้อด้วยตัวเอง คุณไม่ต้องเสียเวลาและต้นทุนกับการแพ็กสินค้า จัดส่ง หรือรับคืนที่มีค่าใช้จ่ายสูง
ข้อเสียของโมเดลธุรกิจค้าปลีก
- ต้นทุนสูง การเปิดร้านค้าหน้าร้านต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อเนื่อง
- ความยืดหยุ่นน้อยกว่าร้านออนไลน์ การปรับเปลี่ยนร้านค้าออนไลน์ทำได้ง่ายเพียงไม่กี่คลิก แต่การเปลี่ยนแปลงร้านค้าหน้าร้านต้องใช้เวลาและแรงงานมากกว่า
- ต้องบริหารจัดการหลายอย่างมากขึ้น การทำธุรกิจออนไลน์ก็วุ่นวายพออยู่แล้ว การมีหน้าร้านจริงจะยิ่งเพิ่มภาระในการจัดการสิ่งต่างๆ มากขึ้นอีก
กรณีศึกษาความสำเร็จของธุรกิจค้าปลีก
แบรนด์ดอกไม้หรู Venus et Fleur ที่มีชื่อเสียงจากดอกไม้ Eternity® เริ่มต้นจากการขายออนไลน์ในปี 2015 โดยใช้ Shopify เป็นแพลตฟอร์มเพื่อขยายจากอีคอมเมิร์ซไปสู่การเปิดร้านค้าปลีกจริง ซึ่งช่วยให้แบรนด์จัดการความท้าทายใหม่ๆ ในการดูแลหลายช่องทางและหลายสาขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน Venus et Fleur มีแผนที่จะต่อยอดความสำเร็จ ด้วยการเพิ่มฟีเจอร์ “สั่งออนไลน์ รับที่ร้าน” (BOPIS) ในอนาคต
3. โมเดลธุรกิจดรอปชิปปิ้ง
ดรอปชิปปิ้ง เป็นโมเดลธุรกิจออนไลน์ที่ดึงดูดผู้ที่อยากเริ่มต้นด้วยต้นทุนต่ำที่สุด และไม่กังวลเรื่องอัตรากำไรมากนัก อีกทั้งยังเหมาะกับคนที่ไม่อยากเก็บหรือบริหารสต็อกสินค้าเอง
รูปแบบนี้ทำงานทั้งในโมเดล B2C (เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าจากร้านของคุณ) และ B2B (จำนวนเงินที่คุณจ่ายให้ผู้ให้บริการดรอปชิปปิ้งเพื่อจัดหาสินค้าและดูแลการจัดส่งแทนคุณ)
ข้อดีของโมเดลธุรกิจดรอปชิปปิ้ง
- ต้นทุนเริ่มต้นต่ำ ไม่ต้องเก็บสต็อกสินค้า ทำให้ไม่มีต้นทุนสินค้าคงคลัง ซึ่งปกติถือเป็นค่าใช้จ่ายหลักของธุรกิจอีคอมเมิร์ซใหม่
- ความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากคุณไม่ต้องซื้อสต็อกสินค้าล่วงหน้า จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีสินค้าค้างขายไม่ได้
- การขายที่ง่ายขึ้น ผู้ให้บริการดรอปชิปปิ้งจะดูแลการหยิบสินค้า แพ็กสินค้า และจัดส่งแทนคุณ ทำให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ คุณสามารถบริหารจากที่ไหนก็ได้ทั่วโลก
ข้อเสียของโมเดลธุรกิจดรอปชิปปิ้ง
- การแข่งขันสูง เพราะต้นทุนเริ่มต้นต่ำ คนจำนวนมากเข้ามาทำโมเดลธุรกิจออนไลน์นี้ ทำให้ตลาดแน่นและยากที่จะแตกต่างจากคู่แข่ง
- กำไรต่อชิ้นต่ำ ทำให้แข่งขันด้านโฆษณาที่เสียเงินได้ยาก จึงต้องพึ่งกลยุทธ์ออร์แกนิก เช่น คอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง อีกทั้งต้องขายปริมาณมากเพื่อให้ได้กำไรที่เหมาะสม
- ปัญหาการซิงก์สต็อก เพราะคุณพึ่งพาสต็อกจากผู้ค้าส่ง หากคุณส่งคำสั่งซื้อแต่สินค้าหมด ระบบอาจล่าช้าและส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ธุรกิจของคุณ
กรณีศึกษาธุรกิจดรอปชิปปิ้งที่ประสบความสำเร็จ
Subtle Asian Treats คือหนึ่งในธุรกิจดรอปชิปปิ้งชั้นนำบน Shopify ที่ขายตุ๊กตา Plushie และเคส AirPods และ iPhone ก่อตั้งโดย Tze Hing Chan ผู้ประกอบการชาวมาเลเซียรุ่นใหม่ที่มองเห็นกระแสชาไข่มุกในเอเชีย
แบรนด์นี้ดึงดูดแฟนๆ ชาไข่มุกนับพันด้วยการนำเสนอสินค้าที่หลากหลาย ราคายุติธรรม และยังสร้างการรับรู้ได้ดีบนโซเชียลมีเดียผ่านคอนเทนต์ที่ผู้ใช้สร้างขึ้น (UGC) อีกทั้งยังเข้าถึงลูกค้าหลากหลายงบประมาณผ่านการกระจายสินค้าได้อย่างชาญฉลาด
4. โมเดลธุรกิจการผลิต
โมเดลธุรกิจออนไลน์การผลิตสินค้าเองจะเหมาะที่สุดสำหรับผู้ประกอบการที่มีไอเดียเฉพาะตัว หรือการต่อยอดจากไอเดียที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะทำธุรกิจในรูปแบบ B2C หรือ B2B นอกจากนี้ยังเหมาะกับคนที่ได้ทดสอบตลาดและพิสูจน์แล้วว่าสินค้ามีความต้องการจริง
คุณสามารถมองการผลิตได้หลายมุม เช่น
- Private label: ผลิตภัณฑ์ที่สร้างโดยผู้ผลิตภายนอก แต่ขายภายใต้ชื่อแบรนด์ของคุณ ในฐานะเจ้าของธุรกิจ คุณควบคุมทุกอย่างได้ เช่น ส่วนผสม บรรจุภัณฑ์ และดีไซน์ฉลาก Private label เหมาะกับแบรนด์ที่อยากมีสินค้าลักษณะเฉพาะ แต่ยังไม่มีทรัพยากรในการผลิตเอง
- White label: ผลิตภัณฑ์ที่ผู้ผลิตสร้างขึ้นแล้วขายต่อให้ผู้ค้าปลีกหลายราย เพื่อจำหน่ายภายใต้ชื่อแบรนด์ของแต่ละราย มักเป็นสินค้าทั่วไปที่สามารถขายได้กับกลุ่มลูกค้าหลากหลาย
- DIY makers: ผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าด้วยตัวเอง เช่น งานแฮนด์เมด DIY ช่วยให้ควบคุมคุณภาพและแบรนด์ได้เต็มที่ แต่ก็มีข้อจำกัดในเรื่องเวลาและการขยายขนาดธุรกิจ
การผลิตเหมาะกับผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะและทรัพยากรในการผลิตจริง แต่สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่า ไม่ใช่ทุกสินค้าที่สามารถทำเองได้ ข้อจำกัดขึ้นอยู่กับทักษะและทรัพยากรที่มีอยู่
ข้อดีของโมเดลธุรกิจการผลิต
- ต้นทุนต่อหน่วยต่ำที่สุด การผลิตช่วยให้ได้ราคาต่อหน่วยต่ำ จึงได้กำไรมากขึ้น
- ควบคุมได้มากกว่า คุณสามารถสร้างแบรนด์ กำหนดราคา และควบคุมคุณภาพสินค้าได้เอง
- ความคล่องตัวสูง การผลิตเองทำให้คุณปรับคุณภาพ ฟีเจอร์ หรือแม้แต่โครงสร้างสินค้าทั้งหมดได้ตามต้องการ
ข้อเสียของโมเดลธุรกิจการผลิต
- ขั้นต่ำการสั่งซื้อ (MOQs) คำสั่งซื้อเริ่มต้นอาจมีต้นทุนสูงมาก อาจต้องใช้เงินลงทุนตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักแสนบาท ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตและต้นทุนสินค้า
- ความเสี่ยงจากการจ้างผลิตภายนอก การพึ่งผู้ผลิตภายนอกอาจทำให้เจอปัญหาที่ควบคุมไม่ได้ เช่น การถูกโกงจากผู้ผลิตต่างประเทศ
- ต้องลงทุนสูงล่วงหน้า การผลิตต้องใช้ทั้งเวลาและเงิน ตั้งแต่การสร้างต้นแบบ ทดลองผลิต จนถึงผลิตจริง รวมถึงต้นทุนวัตถุดิบ คลังสินค้า และแรงงาน
- ใช้เวลามาก การผลิตสินค้าด้วยตนเองอาจใช้เวลานาน ทำให้คุณมีเวลาน้อยลงในการพัฒนาธุรกิจด้านอื่น
กรณีศึกษาความสำเร็จของธุรกิจการผลิต
Old World Kitchen เริ่มต้นจากธุรกิจครอบครัวที่ขายสินค้าตามบ้านในพื้นที่ท้องถิ่น ก่อนที่จะขยายมาสู่การขายออนไลน์ผ่าน Etsy
แบรนด์นี้เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์ครัวแฮนด์เมด และต้องการขยายตลาดไปไกลกว่าเดิม แต่การทำเช่นนั้นจำเป็นต้องมีอิสระในการกำหนดราคา การสร้างแบรนด์ และการควบคุมคุณภาพ ซึ่ง Etsy ไม่สามารถให้ได้
หลังจากย้ายจาก Etsy มาที่ Shopify โดย Old World Kitchen มียอด Conversion ออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และยังสามารถร่วมมือกับแบรนด์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงตั้งราคาขายที่สูงขึ้นได้ โดยยังคงรักษาความเป็นเอกลักษณ์ของสินค้าที่ทำด้วยมือ
5. โมเดลธุรกิจขายส่ง
การซื้อสินค้าในรูปแบบขายส่งถือเป็นทางเลือกที่ดีหากคุณต้องการเริ่มธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว หรือหากคุณต้องการขายสินค้าหลากหลายประเภทและหลายแบรนด์ โมเดลธุรกิจออนไลน์แบบการขายส่งยังเปิดโอกาสได้กว้าง เพราะมีสินค้าหลายประเภทที่มีความต้องการสูงในโมเดล B2B แบบขายส่ง
ข้อดีของโมเดลธุรกิจขายส่ง
- ขายสินค้าที่มีความน่าเชื่อถือแล้ว การซื้อและขายในรูปแบบขายส่งมีความเสี่ยงต่ำกว่า เพราะคุณทำงานกับแบรนด์ที่ผ่านการพิสูจน์ในตลาดแล้ว ลดโอกาสเสียเวลาและเงินไปกับการพัฒนาสินค้าที่ไม่มีคนต้องการ
- ความคุ้นเคยของแบรนด์ การขายสินค้าจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี และเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณเอง
ข้อเสียของโมเดลธุรกิจขายส่ง
- การสร้างความแตกต่าง แม้การขายสินค้าที่มีชื่อเสียงจะเป็นข้อดี แต่ก็มีข้อเสียตรงที่สินค้าถูกขายโดยซัพพลายเออร์หลายเจ้า คุณต้องหาทางทำให้ธุรกิจของคุณแตกต่างและดึงดูดลูกค้าให้เลือกซื้อจากคุณ
- การควบคุมราคา การขายสินค้าของแบรนด์อื่นทำให้คุณต้องปฏิบัติตามกฎของแบรนด์นั้นๆ บางครั้งแบรนด์กำหนดราคาเพื่อป้องกันการลดราคาที่มากเกินไป
- การบริหารสต็อก การซื้อสินค้าแบบขายส่งมักมีขั้นต่ำการสั่งซื้อ ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าและผู้ผลิต ซึ่งหมายความว่าคุณต้องจัดเก็บ ดูแล และบริหารสต็อกเพื่อสั่งซื้อใหม่
- การทำงานกับซัพพลายเออร์หลายราย หากคุณขายสินค้าหลายประเภท การจัดการกับซัพพลายเออร์หลายเจ้าอาจซับซ้อน แต่ละเจ้ามักมีข้อกำหนดที่ต่างกัน
โมเดลขายส่งอาจถูกมองว่าเป็นจุดกึ่งกลางที่ปลอดภัยระหว่างการผลิตและดรอปชิปปิ้ง แม้แต่ละกรณีจะแตกต่างกัน แต่โดยทั่วไปแล้วกำไรจากการขายส่งเมื่อขายปลีกมักอยู่ที่ประมาณ 50%
กรณีศึกษาความสำเร็จของธุรกิจขายส่ง
Pernell Cezar Jr. และ Rod Johnson ก่อตั้ง BLK & Bold โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือชุมชนท้องถิ่นผ่านการขายกาแฟ บริษัทมอบ 5% ของกำไรทั้งหมดให้กับโครงการที่สนับสนุนเยาวชน พัฒนาทักษะแรงงาน และช่วยขจัดปัญหาการไร้บ้านของเยาวชน
BLK & Bold ใช้ทั้งช่องทางขายส่งและ DTC เพื่อขับเคลื่อนยอดขาย โดยคู่ค้าขายส่งส่วนใหญ่ได้แก่ ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ออฟฟิศ พื้นที่โคเวิร์กกิ้ง รวมถึงธุรกิจบริการอย่างบูติกโฮเทล Airbnb และที่พักสไตล์ Bed & Breakfast
6. โมเดลธุรกิจพิมพ์ตามสั่ง
พิมพ์ตามสั่ง (POD) คือวิธีขายสินค้าที่ผลิตตามออเดอร์ โดยมีดีไซน์ของคุณเป็นจุดเด่น เป็นโมเดลธุรกิจออนไลน์ที่ผู้ขายแทบไม่ต้องจัดการเองมากนัก มักใช้ในธุรกิจ B2C แต่ก็สามารถทำงานได้กับ B2B เช่น ของขวัญลูกค้า หรือของที่ระลึกในงานประชุม สำหรับ POD คุณเพียงแค่สร้างดีไซน์ ทำตัวอย่างผ่านพาร์ตเนอร์ POD และนำไปลงขายในช่องทางออนไลน์ เมื่อมีลูกค้าสั่งซื้อ บริการพิมพ์ของบุคคลที่สามจะผลิตสินค้า แพ็ก และจัดส่งแทนคุณ
คล้ายกับโมเดลดรอปชิปปิ้ง โมเดล POD ช่วยลดต้นทุนในการเริ่มขายออนไลน์ คุณไม่ต้องจ่ายค่าสินค้าก่อนจนกว่าจะมีการสั่งซื้อจริง ทำให้ใช้เงินลงทุนล่วงหน้าน้อย อีกทั้งขั้นตอนการพิมพ์ แพ็ก และจัดส่งทั้งหมดถูกจัดการโดยพาร์ตเนอร์
POD ถือเป็นโมเดลที่เหมาะมากสำหรับคนทำงานสร้างสรรค์ คุณสามารถขายสินค้าตามสั่งยอดนิยม เช่น
- กระเป๋าดัฟเฟิล
- กางเกงโยคะเลกกิ้ง
- หน้ากากผ้า
- สายนาฬิกา
- งานพิมพ์แคนวาสและโปสเตอร์
- หมอนอิง
- ผ้าห่ม
แม้ว่าสินค้าพิมพ์ตามสั่งมักมีกำไรต่อชิ้นไม่สูงนัก ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การตั้งราคาและต้นทุนการหาลูกค้า แต่ก็เป็นโมเดลที่มีความเสี่ยงต่ำ เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นอีคอมเมิร์ซ หรือผู้ที่อยากทดลองช่องทางรายได้ใหม่ๆ ให้กับธุรกิจที่มีอยู่แล้ว
ข้อดีของโมเดลธุรกิจ POD
- พัฒนาสินค้าและขายได้รวดเร็ว เพียงคุณออกแบบเสร็จ ก็สามารถสร้างตัวอย่างและลงขายในร้านค้าออนไลน์ได้ภายในไม่กี่นาที
- การจัดส่งอัตโนมัติ การจัดส่งและ Fulfillment ดูแลโดยซัพพลายเออร์ คุณแค่โฟกัสไปที่การบริการลูกค้า
- ต้นทุนเริ่มต้นต่ำ ไม่ต้องเก็บสต็อกสินค้า ทำให้เพิ่มหรือลดสินค้าได้ง่าย ทดสอบไอเดียใหม่ หรือสร้างสินค้าสำหรับตลาดเฉพาะทางได้สะดวก
ข้อเสียของโมเดลธุรกิจ POD
- ควบคุมการจัดส่งได้จำกัด ค่าจัดส่งอาจซับซ้อนเพราะต่างกันตามประเภทสินค้า และอาจมีข้อจำกัดถ้าคุณอยากสร้างประสบการณ์ Unboxing ที่โดดเด่น
- การปรับแต่งจำกัด สิ่งที่คุณปรับแต่งได้ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการและสินค้านั้นๆ คุณต้องคำนวณต้นทุน วิธีการพิมพ์ และไซซ์ที่มี ก่อนตัดสินใจเลือกปรับแต่ง
กรณีศึกษาความสำเร็จของ POD
Fanjoy คือมาร์เก็ตเพลสออนไลน์ที่รวบรวมสินค้าพิมพ์ตามสั่งจากศิลปินและครีเอเตอร์หลายคน CEO Chris Vaccarino ก่อตั้งบริษัทในปี 2014 หลังจากเห็นโอกาสจากประสบการณ์ขายสินค้าของวงดนตรีของพี่ชาย
ปัจจุบัน Fanjoy เติบโตเป็นมาร์เก็ตเพลสที่ช่วยเชื่อมครีเอเตอร์กับเครื่องมือที่จำเป็นต่อการเป็นผู้ประกอบการ พร้อมฐานลูกค้าที่พร้อมซื้อผลงานดีไซน์ของพวกเขา จนถึงวันนี้ Fanjoy จัดส่งสินค้ามาแล้วมากกว่า 3 ล้านชิ้น
7. โมเดลธุรกิจส่งตรงถึงผู้บริโภค
ดังที่กล่าวไปแล้ว โมเดล DTC (หรือ D2C) คือการที่แบรนด์ขายสินค้าตรงให้กับผู้บริโภค โดยไม่ผ่านคนกลาง เช่น ผู้ค้าส่ง หรือผู้ค้าปลีกบุคคลที่สามอย่าง Amazon
ลองนึกถึงแบรนด์ที่กำลังมาแรงอย่าง Warby Parker, Barkbox, Bonobos หรือ Casper ทั้งหมดนี้มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือการใช้โมเดล DTC แม้แต่แบรนด์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Apple และ Tesla ก็ยังใช้ช่องทาง Mobile Commerce เป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักสำหรับการขายแบบ DTC
แบรนด์ DTC ช่วยลดความยุ่งยากในการเลือกซื้อสินค้าจากผู้ค้าปลีกหลายร้อยเจ้า ทำให้ประสบการณ์ช้อปปิ้งง่ายขึ้นและตรงไปตรงมามากขึ้นสำหรับลูกค้า
ข้อดีของโมเดล DTC
- เป็นเจ้าของความสัมพันธ์กับลูกค้าโดยตรง ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและเพิ่มมูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้า
- เก็บข้อมูลลูกค้าได้โดยตรง ทำให้คุณมี First-party data เพื่อนำไปปรับแต่งการสื่อสารและประสบการณ์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
- กำไรสูงกว่า เพราะไม่ต้องแบ่งกำไรให้ผู้จัดจำหน่ายหรือบุคคลที่สาม
- รับฟังฟีดแบ็กได้เร็วกว่า เนื่องจากสื่อสารกับลูกค้าได้โดยตรง คุณจึงเก็บข้อมูลเพื่อนำไปพัฒนาสินค้าและประสบการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
ข้อเสียของโมเดล DTC
- ต้นทุนการจัดจำหน่ายตรงสูง เพราะคุณต้องรับผิดชอบทั้งค่าจัดเก็บและค่าขนส่งเอง จึงต้องลงทุนล่วงหน้าเพื่อให้ธุรกิจดำเนินได้อย่างราบรื่น
- ไม่มีฐานลูกค้าในตัว การขายผ่านผู้ค้าปลีกมีข้อดีคือลูกค้าหาเจอได้ง่ายกว่า แต่ถ้าเป็นแบรนด์ใหม่ คุณต้องทำการตลาดเองเพื่อสร้างฐานผู้ชม อีกทั้งยังไม่ได้ประโยชน์จากทีมขายหรือประสบการณ์ของผู้จัดจำหน่าย
แม้จะใช้เวลาและเงินในการสร้างช่องทางจัดจำหน่ายที่มั่นคง แต่การขายตรงถือเป็นโมเดลที่ชาญฉลาดในการสร้างฐานลูกค้าที่ภักดี และเพิ่มกำไรได้ในระยะยาว
กรณีศึกษาความสำเร็จของ DTC
รองเท้าหนังทำมือและคำว่า “Made in Italy” มักมาพร้อมกับราคาสูง เพราะอุตสาหกรรมเต็มไปด้วยตัวกลาง ทั้งผู้จัดจำหน่าย เอเจนต์ และผู้ค้าปลีก
แต่ในปี 2013 Velasca สตาร์ทอัพรองเท้าหนังจากมิลาน ได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมเป้าหมายที่จะเปลี่ยนอุตสาหกรรมนี้ ด้วยการเชื่อมต่อลูกค้าเข้ากับช่างทำรองเท้าโดยตรง Velasca เกิดจากการพูดคุยเล่นๆ ระหว่างผู้ร่วมก่อตั้ง Enrico Casati และ Jacopo Sebastio ในรถแท็กซี่ และเติบโตขึ้นจนกลายเป็นแบรนด์ DTC ที่เฟื่องฟู ขายรองเท้าหลายแสนคู่ในกว่า 30 ประเทศทั่วโลก
8. โมเดลธุรกิจแบบสมัครสมาชิก
โมเดลธุรกิจแบบสมัครสมาชิกคือการคิดค่าบริการจากลูกค้าแบบต่อเนื่อง ไม่ว่าจะรายเดือนหรือรายปี เพื่อเข้าถึงสินค้าและบริการ โมเดลนี้ช่วยให้ธุรกิจสร้างรายได้จากความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า หากลูกค้ายังคงเห็นคุณค่าในข้อเสนอของคุณ พวกเขาก็พร้อมจะจ่ายต่อไป
ไม่ว่าคุณจะเป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ซหรือผู้ให้บริการการเรียนรู้ออนไลน์ คุณสามารถเริ่มธุรกิจแบบ Subscription ได้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น
- บริการสตรีมมิง
- กล่อง Subscription รายเดือน
- คอมมูนิตี้แบบสมาชิก
- บริการอาหาร
- คอนเทนต์ดิจิทัล (เช่น จดหมายข่าว วิดีโอออนดีมานด์)
โมเดลธุรกิจออนไลน์รายได้ประจำ (Recurring revenue) สามารถช่วยเพิ่มรายได้และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นกับลูกค้า ยิ่งลูกค้าใช้บริการนานเท่าไร มูลค่าที่พวกเขารับรู้ก็ยิ่งมากขึ้น
ข้อดีของโมเดล Subscription
- รายได้คาดการณ์ได้ชัดเจน รายได้ประจำทุกเดือนช่วยให้คุณคาดการณ์ยอดขาย วางแผนสต็อก และรู้ว่าควรนำเงินไปลงทุนต่ออย่างไร
- กระแสเงินสดมากขึ้น การได้รับชำระเงินล่วงหน้ารายเดือนทำให้ธุรกิจมีเงินหมุนเวียนมากขึ้น และลดความกังวลของผู้ประกอบการ
- ลูกค้าภักดี การซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่องช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าได้ดีขึ้น และปรับปรุงสินค้าเพื่อให้ลูกค้ากลับมาซื้ออีก
- ขายต่อยอดได้ง่ายขึ้น ยิ่งลูกค้าใช้สินค้าของคุณนานเท่าไร ความเชื่อมั่นยิ่งเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถ Cross-sell หรือ Upsell ได้ง่ายขึ้น
ข้อเสียของโมเดลธุรกิจสมาชิก
- ความเสี่ยงในการยกเลิกสูง (Churn) คุณต้องทำให้ลูกค้าสนใจและมีส่วนร่วมตลอดเวลา มิฉะนั้นพวกเขาอาจเลิกจ่าย
- ความหลากหลายของสินค้า หากสินค้าไม่เปลี่ยนแปลงก็อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกเบื่อได้ เช่น Netflix ที่เพิ่มและถอดหนังทุกเดือน หรือ Trunk Club ที่ปรับสินค้าให้เข้ากับสไตล์ลูกค้า
- ปัญหาเล็กๆ ที่ขยายใหญ่ได้ บริการ Subscription ส่วนใหญ่มอบสิ่งเดียวกันให้ลูกค้าในเวลาเดียวกันทุกเดือน แม้ดูเรียบง่าย แต่หากระบบมีปัญหาเพียงเล็กน้อย อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้หากไม่มีการวางแผนรองรับ
กรณีศึกษาความสำเร็จของ Subscription
ธุรกิจ Subscription มีหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น ร้านค้าอีคอมเมิร์ซแบบ B2C ที่เพิ่มโมเดล Subscription ในข้อเสนอของตน Clevr Blends แบรนด์ลาเต้ออนไลน์ชื่อดังจากแคลิฟอร์เนีย ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2016
แบรนด์นี้เสนอแพ็กเกจ Subscription ที่มอบส่วนลด สิทธิ์เข้าถึงสินค้ารุ่นใหม่ก่อนใคร และที่ตักฟรีในทุกออเดอร์
9. โมเดลธุรกิจคิดค่าบริการ
โมเดลธุรกิจออนไลน์คิดค่าบริการ หรือที่เรียกว่า Service-based business model คือการที่ผู้ประกอบการขาย “บริการ” มากกว่าสินค้า ธุรกิจรูปแบบนี้พบได้ทั่วไปในทุกโมเดล เช่น
- B2C และ DTC: ร้านทำผม
- B2B: บริษัททำความสะอาดสำนักงาน
- C2C: เด็กข้างบ้านช่วยตักหิมะหน้าบ้าน
- C2B: เด็กคนเดียวกันตักหิมะให้กับอาคารสำนักงาน
ตามข้อมูลจาก Bureau of Labor Statistics อุตสาหกรรมบริการถือเป็นภาคธุรกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐอเมริกา แม้จะมักเกี่ยวข้องกับงานรายชั่วโมง แต่ก็เปิดโอกาสมากมายให้ผู้ประกอบการนำเวลาและความเชี่ยวชาญมาสร้างรายได้
ข้อดีของโมเดลธุรกิจคิดค่าบริการ
- ได้รับค่าตอบแทนตามเวลา ธุรกิจที่ขายสินค้าอาจไม่ได้สะท้อนเวลาที่ใช้เสมอไป แต่ธุรกิจที่คิดค่าบริการสามารถเก็บค่าแรงตามชั่วโมง ทำให้มั่นใจได้ว่าคุณได้รับค่าตอบแทนจากเวลาทั้งหมดที่ทำงาน
- ต้นทุนเริ่มต้นต่ำ การเริ่มธุรกิจบริการมักไม่ต้องใช้เงินลงทุนหรือค่าใช้จ่ายคงที่สูง เช่น หากคุณอยากเปิดร้านอาบน้ำตัดขนสุนัข คุณสามารถเริ่มจากบริการพาสุนัขเดินเล่นก่อน แล้วเก็บเงินไปลงทุนเปิดร้านจริงในอนาคต
ข้อเสียของโมเดลธุรกิจคิดค่าบริการ
- ขยายธุรกิจได้จำกัด เพราะธุรกิจบริการขึ้นอยู่กับเวลาของคุณเอง วิธีเพิ่มรายได้หลักๆ มีเพียงขึ้นราคาค่าบริการ หรือจ้างผู้รับเหมาช่วงที่คิดค่าจ้างถูกกว่า แต่ทั้งสองทางก็มีความท้าทาย เช่น ลูกค้าอาจไม่อยากจ่ายเพิ่ม หรือการหาผู้รับเหมาที่มีคุณภาพและการบริหารทีมใช้เวลามาก
- ต้องพิสูจน์อัตราค่าบริการและเวลา ธุรกิจบริการที่คิดค่ารายชั่วโมงมักต้องอธิบายว่าทำไมงานใช้เวลาขนาดนั้น แม้จะไม่คิดเป็นรายชั่วโมง ลูกค้าก็มักจะต่อรองราคาหรือกดดันมากกว่าธุรกิจขายสินค้า
กรณีศึกษาความสำเร็จของธุรกิจคิดค่าบริการ
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซจำนวนมากต้องการภาพสินค้าที่สวยงามบนเว็บไซต์ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีทักษะ เวลา หรือซอฟต์แวร์สำหรับการแก้ไขภาพ เช่น การลบพื้นหลังหรือปรับสี
Path คือสตูดิโอแก้ไขภาพออนไลน์ที่ให้บริการแก่ธุรกิจอื่น โดยทำงานในโมเดล B2B ทีม Path มีนักรีทัชและนักออกแบบกราฟิกกว่า 300 คนที่ช่วยจัดการงานแก้ไขภาพพื้นฐานแต่สำคัญแทนลูกค้า โดยคิดค่าบริการต่อภาพแบบเหมาจ่าย ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของงาน และยังมีตัวเลือกจัดส่งงานด่วนที่มีค่าบริการเพิ่มเติม
10. โมเดลธุรกิจแบบฟรีเมียม
โมเดลฟรีเมียมคือการที่ผู้ประกอบการนำเสนอสินค้าและบริการทั้งแบบฟรีและแบบเสียเงิน มักใช้กับธุรกิจ B2C หรือ B2B โดยเฉพาะบริษัทซอฟต์แวร์และธุรกิจ Software-as-a-Service (SaaS)
โมเดลนี้ช่วยให้เจ้าของธุรกิจสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าใหม่ได้ง่ายขึ้น เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายหรือข้อผูกมัดใดๆ ในการสมัครและทดลองใช้ วิธีการสร้างรายได้คือทำให้ผู้ใช้ฟรีรู้สึกประทับใจและใช้งานจนอยากอัปเกรดไปใช้ฟีเจอร์เพิ่มเติมที่ต้องเสียเงิน
ข้อดีของโมเดลฟรีเมียม
- หาลูกค้าใหม่ได้ง่ายกว่า เพราะไม่มีความเสี่ยงในการลองใช้สินค้า ลูกค้าไม่ต้องจ่ายเงิน ทำให้โน้มน้าวให้สมัครได้ง่าย
- โอกาสในการ Cross-sell และ Upsell มากขึ้น แม้แต่ผู้ใช้ฟรีก็สร้างข้อมูลเชิงลึกที่มีค่า ซึ่งคุณสามารถนำไปใช้ทำโปรโมชั่นหรือข้อเสนอที่ตรงใจได้
ข้อเสียของโมเดลฟรีเมียม
- ยากในการเปลี่ยนผู้ใช้ฟรีเป็นผู้เสียเงิน ผู้ใช้ฟรีอาจพอใจกับสิ่งที่ได้รับอยู่แล้ว และไม่เห็นความจำเป็นต้องอัปเกรด หากประสบการณ์แบบฟรียังตอบโจทย์ได้เพียงพอ
- ความเสี่ยงเรื่องการเลิกใช้สูง (Churn) โมเดลสมัครสมาชิกมีความเสี่ยงเรื่องการยกเลิกอยู่แล้ว และยิ่งสูงขึ้นหากคุณมีตัวเลือกฟรีที่แข่งขันกับตัวเลือกเสียเงินของคุณเอง
กรณีศึกษาความสำเร็จของโมเดลฟรีเมียม
Spotify คือหนึ่งในธุรกิจฟรีเมียมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด บริการสตรีมมิงเพลงรายนี้ใช้โมเดลสมัครสมาชิก โดยผู้ใช้สามารถสมัครแผนฟรี (Freemium) ที่มีโฆษณาและฟีเจอร์จำกัด แต่หากอัปเกรดเป็นแผนเสียเงิน จะไม่มีโฆษณา พร้อมฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น ฟังเพลงออฟไลน์ ข้ามเพลงไม่จำกัด และสร้างเพลย์ลิสต์ส่วนตัวได้
11. โมเดลธุรกิจแอฟฟิลิเอต
โมเดลแอฟฟิลิเอตคือการที่คุณได้รับค่าคอมมิชชันหรือค่าธรรมเนียมแนะนำจากธุรกิจพันธมิตร แลกกับการช่วยดึงลูกค้ามาซื้อสินค้าหรือบริการจากพันธมิตรนั้น การตลาดแบบแอฟฟิลิเอตมักถูกมองว่าเป็นโมเดลธุรกิจออนไลน์ C2C เพราะแอฟฟิลิเอตส่วนใหญ่คือผู้บริโภคทั่วไปที่แนะนำสินค้าและบริการให้ผู้บริโภครายอื่น
มีหลายวิธีที่ธุรกิจสามารถใช้แอฟฟิลิเอตเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโมเดลได้ เช่น การเข้าร่วมเครือข่ายแอฟฟิลิเอต เพื่อดึงคนที่มีอิทธิพลหรือกลุ่มผู้ติดตามให้มาช่วยโปรโมตสินค้าแทนคุณ
ข้อดีของโมเดลแอฟฟิลิเอต
- โอกาสสร้างรายได้แบบพาสซีฟ ไม่ว่าคุณจะเป็นแอฟฟิลิเอตหรือเจ้าของแบรนด์ โมเดลนี้เปิดโอกาสให้คุณมีรายได้แบบไม่ต้องลงแรงมาก ในฐานะแบรนด์ คุณมีเครือข่ายคนช่วยโปรโมตสินค้า ส่วนในฐานะแอฟฟิลิเอต คุณสามารถสร้างเว็บไซต์ที่มีลิงก์แอฟฟิลิเอตและปล่อยให้เติบโตเอง
- โอกาสในการทำงานร่วมกัน ในฐานะแอฟฟิลิเอต คุณสามารถร่วมมือกับหลายแบรนด์ ซึ่งช่วยเปิดโอกาสใหม่ๆ และเข้าถึงสิ่งที่คุณอาจไม่มีทางได้เข้าถึงเอง
ข้อเสียของโมเดลแอฟฟิลิเอต
- กำไรต่ำ แอฟฟิลิเอตมักจะได้เพียงเปอร์เซ็นต์เล็กๆ ของรายได้ที่สร้างขึ้น ทำให้ต้องมีจำนวนผู้แนะนำมากพอจึงจะได้รายได้ก้อนใหญ่
- ต้องมีเครือข่าย แอฟฟิลิเอตที่ประสบความสำเร็จมักมีผู้ติดตามหรือฐานผู้ชมอยู่แล้ว หากคุณยังไม่มี คุณต้องลงทุนสร้างฐานผู้ชมเองก่อน
กรณีศึกษาความสำเร็จของโมเดลแอฟฟิลิเอต
QALO ร้านขายแหวนหมั้นและแหวนแต่งงานซิลิโคนบน Shopify ใช้กลยุทธ์แอฟฟิลิเอตตั้งแต่ช่วงแรก โดยโฟกัสไปที่คอมมูนิตี้ออนไลน์ “การสร้างแอฟฟิลิเอตผ่านคนที่มีคอมมูนิตี้หรือผู้ติดตามออนไลน์ช่วยให้ง่ายกว่าการให้คนไปโปรโมตสินค้าในยิมหรือที่อื่นๆ” KC Holiday ผู้ร่วมก่อตั้ง QALO กล่าว
ความสัมพันธ์กับแอฟฟิลิเอตมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตของแบรนด์หลังจากเปิดตัวในปี 2013 และจนถึงวันนี้ QALO ก็ยังคงมีโปรแกรมแอฟฟิลิเอตอยู่
12. โมเดลธุรกิจใบมีดโกน (และโมเดลกลับด้าน)
กลยุทธ์ธุรกิจใบมีดโกน คือการขายสินค้าหลักในราคาที่ไม่แพงนัก แต่การใช้งานต่อเนื่องจำเป็นต้องซื้อสินค้าเสริม หรือสินค้าที่ต้องซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสินค้าพวกนี้มักจะถูกตั้งราคาให้มีกำไรสูง ในขณะที่สินค้าชิ้นแรกอาจขายที่มาร์กอัปต่ำกว่าปกติ
ชื่อโมเดลนี้มาจากอุตสาหกรรมใบมีดโกน เพราะแม้ด้ามโกนหนวดจะราคาไม่แพง แต่ใบมีดเปลี่ยนและอุปกรณ์โกนหนวดอื่นๆ มักมีราคาสูงกว่า และนี่คือสิ่งที่ทำให้แบรนด์โกยรายได้มากขึ้น
โมเดลกลับด้านของใบมีดโกน คือการกลับทิศตรงข้าม กล่าวคือ สินค้าชิ้นแรกอาจมีราคาลงทุนสูง แต่การซื้อซ้ำของสินค้าเสริมจะสร้างรายได้ระยะยาว เช่น แบรนด์ Canopy ที่ขายเครื่องทำความชื้นและเครื่องกระจายกลิ่นคุณภาพพรีเมียมในครั้งแรก แล้วรักษาลูกค้าด้วยสินค้าเติม เช่น น้ำมันหอมระเหย แม้โมเดลนี้อาจไม่ทำกำไรมหาศาล แต่ช่วยให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำและเปิดโอกาสให้ทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง
ข้อดีของโมเดลธุรกิจใบมีดโกน
- กระตุ้นการซื้อซ้ำ ธรรมชาติของโมเดลธุรกิจออนไลน์นี้ทำให้ลูกค้าต้องซื้อซ้ำเรื่อยๆ ดีต่อการสร้างความภักดีและเพิ่มมูลค่าลูกค้าตลอดอายุการใช้งาน
- เก็บข้อมูลลูกค้าได้มากขึ้น ยิ่งลูกค้าซื้อซ้ำมากเท่าไร คุณยิ่งมีโอกาสสร้าง Touchpoint และเก็บ First-party data ที่มีคุณค่าโดยไม่ต้องพึ่งบุคคลที่สาม
ข้อเสียของโมเดลธุรกิจใบมีดโกน
-
เสี่ยงต่อการลดคุณค่าของแบรนด์ หากขายสินค้าหลักราคาถูกแต่คิดแพงกับสินค้าที่ต้องซื้อซ้ำ ลูกค้าอาจตั้งคำถามถึงคุณภาพของสินค้าและความน่าเชื่อถือของแบรนด์
- เสี่ยงต่อการแข่งขันสูง หลายธุรกิจในโมเดลนี้ตั้งราคาเชิงกลยุทธ์เพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นการซื้อซ้ำ แต่สิ่งนี้ก็เปิดช่องให้คู่แข่งเข้ามาได้ง่าย โดยเสนอสินค้าที่ราคาถูกกว่าหรือคุณภาพดีกว่า
กรณีศึกษาความสำเร็จของโมเดลใบมีดโกน
Dollar Shave Club หนึ่งในแบรนด์ DTC ด้านใบมีดโกนที่โด่งดัง ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ได้อย่างดี พร้อมทั้งต่อยอดด้วยรายได้ประจำจากการสมัครสมาชิก ซึ่งมีผู้ใช้แบบ Active มากกว่า 100 ล้านคน
13. โมเดลธุรกิจแฟรนไชส์
แฟรนไชส์คือธุรกิจที่ใช้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ ในการกระจายสินค้าและบริการ โดยเจ้าของแฟรนไชส์ (Franchisor) เป็นผู้สร้างแบรนด์และผลิตภัณฑ์ ส่วนผู้ซื้อแฟรนไชส์สามารถลงทุนเพื่อเริ่มธุรกิจของตนเองภายใต้แบรนด์เดียวกัน
แฟรนไชส์มักอยู่ในรูปแบบ B2C เพราะขายสินค้าและบริการตรงถึงผู้บริโภค (แต่บางแฟรนไชส์ก็ทำงานในโมเดล B2B ด้วยเช่นกัน) ความสัมพันธ์ระหว่าง Franchisor และ Franchisee เองก็คล้ายกับโมเดลธุรกิจ B2B
ข้อดีของโมเดลแฟรนไชส์
- มีการรับรู้แบรนด์และการสนับสนุนในตัว แทนที่จะเริ่มต้นธุรกิจและสร้างแบรนด์ใหม่จากศูนย์ การซื้อแฟรนไชส์ทำให้ง่ายกว่าที่จะก้าวเข้าสู่เส้นทางผู้ประกอบการ ในฐานะ Franchisee คุณสามารถใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของแบรนด์และทรัพยากรที่มีอยู่แล้วได้
- ขยายธุรกิจได้กว้างขึ้น หากคุณต้องการเป็น Franchisor และเปลี่ยนธุรกิจที่มีอยู่ให้เป็นแฟรนไชส์ นี่คือวิธีที่ดีในการขยายตลาดไปยังพื้นที่ใหม่ โดยไม่ต้องลงแรงเองทั้งหมด และยังได้ประโยชน์จากความรู้เชิงลึกในท้องถิ่นของผู้ซื้อแฟรนไชส์ด้วย
ข้อเสียของโมเดลแฟรนไชส์
- ความยืดหยุ่นจำกัด เมื่อเปิดธุรกิจแฟรนไชส์ คุณจะควบคุมได้น้อย ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของแฟรนไชส์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแบรนดิ้ง ราคา การจัดแสดงสินค้า บริการลูกค้า และอื่นๆ
- ต้นทุนเริ่มต้นสูง การเป็น Franchisee ไม่ได้ฟรี ส่วนใหญ่ต้องลงทุนล่วงหน้าหรือเสียค่าธรรมเนียมการเข้าร่วม ซึ่งอาจเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นธุรกิจที่คุณต้องรับผิดชอบเอง
กรณีศึกษาความสำเร็จของแฟรนไชส์
Decathlon แบรนด์เสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาเอาท์ดอร์ ประสบความสำเร็จผ่านโมเดลแฟรนไชส์ โดยแบรนด์เรียกโอกาสแฟรนไชส์ของตนว่า “partnerships” โมเดลนี้ช่วยให้ Decathlon ขยายธุรกิจตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1976 และปัจจุบันสินค้าของแบรนด์ก็ถูกวางขายในห้างค้าปลีกใหญ่ๆ ที่ทุกคนรู้จัก เช่น Target และ Walmart
14. โมเดลธุรกิจสินค้าดิจิทัล
สินค้าดิจิทัลคือสินทรัพย์หรือสื่อที่ไม่ใช่ของจับต้องได้ สามารถขายและกระจายออนไลน์ได้ซ้ำๆ โดยไม่ต้องเติมสต็อกใหม่ สินค้าเหล่านี้มักมาในรูปแบบไฟล์ที่ดาวน์โหลด สตรีม หรือส่งต่อได้ เช่น MP3, PDF, วิดีโอ, ปลั๊กอิน และเทมเพลต
แม้ต้นทุนการสร้างสินค้าดิจิทัลในครั้งแรกอาจสูง แต่ต้นทุนแปรผันในการขายกลับต่ำมาก เมื่อสร้างสินค้าขึ้นมาแล้ว การส่งมอบให้ลูกค้าแทบไม่มีค่าใช้จ่าย
ข้อดีของโมเดลสินค้าดิจิทัล
- ค่าใช้จ่ายคงที่ต่ำ ไม่ต้องเก็บสต็อก และไม่ต้องเสียค่าจัดส่ง
- ขยายธุรกิจได้ง่าย ออเดอร์ถูกส่งมอบได้ทันที โดยที่คุณแทบไม่ต้องจัดการเอง เมื่อธุรกิจเติบโต คุณยังสามารถทำให้กระบวนการอัตโนมัติได้ เพื่อประหยัดเวลา
- นำเสนอสินค้าได้หลากหลาย มีหลายเส้นทางให้เลือก เช่น โมเดลฟรีเมียมที่ให้สินค้าฟรีพร้อมฟีเจอร์อัปเกรด, การสมัครสมาชิกแบบจ่ายรายเดือนเพื่อเข้าถึงคอนเทนต์พิเศษ หรือการขายลิขสิทธิ์ใช้งานสินค้าดิจิทัล คุณสามารถสร้างธุรกิจที่โฟกัสแต่สินค้าดิจิทัล หรือใช้ควบคู่กับธุรกิจที่มีอยู่แล้วก็ได้
ข้อเสียของโมเดลสินค้าดิจิทัล
- การแข่งขันสูง เว้นแต่คุณเจาะตลาดเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร มิฉะนั้นลูกค้าอาจหาเวอร์ชันฟรีมาแทนที่ได้ คุณจึงต้องเลือกตลาดให้ดี สร้างสินค้าที่เหนือกว่า และสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง การทำ SWOT analysis ของคู่แข่งจะช่วยหาข้อได้เปรียบ
- ความเสี่ยงเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ มีโอกาสที่คนจะขโมยและนำสินค้าของคุณไปใช้ซ้ำเป็นของตัวเอง
- ข้อจำกัดในการขาย เช่น นโยบายการค้าของ Facebook และ Instagram อนุญาตให้ขายเฉพาะสินค้าจับต้องได้ ไม่รวมสินค้าดิจิทัล
กรณีศึกษาความสำเร็จของสินค้าดิจิทัล
Pixie Faire ร้านค้าออนไลน์ที่ขายสินค้ามากมาย แต่ไม่มีชิ้นไหนถูกส่งมาในกล่องพัสดุ เพราะทั้งหมดคือสินค้าดิจิทัล ร้านนี้โฟกัสไปที่การขายไฟล์แพทเทิร์นเสื้อผ้าสำหรับตุ๊กตาแบบดาวน์โหลดได้ โดยใช้ Shopify เป็นแพลตฟอร์มหลัก
15. โมเดลธุรกิจนายหน้า
โมเดลนายหน้าคือรูปแบบธุรกิจที่นายหน้าทำหน้าที่เชื่อมต่อลูกค้ากับผู้ให้บริการหรือผู้ขายสินค้า คล้ายกับการเป็นตัวกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย โมเดลธุรกิจออนไลน์นี้พบได้บ่อยในธุรกิจ B2C และ B2B เช่น นายหน้าอสังหาริมทรัพย์หรือนายหน้าประกันภัย แต่ไม่ค่อยพบในอีคอมเมิร์ซโดยตรง
ข้อดีของโมเดลนายหน้า
- ทำให้ธุรกรรมที่ซับซ้อง่ายขึ้น โมเดลนี้มักใช้ในธุรกรรมที่ซับซ้อน เช่น การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เพราะนายหน้ามักให้บริการเสริมที่จำเป็นต่อการปิดการซื้อขายใหญ่ๆ
- ใช้ประโยชน์จากการรับรู้แบรนด์ บางบริษัทนายหน้ามีชื่อเสียงและมีแบรนด์ที่แข็งแรง การได้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทเหล่านี้ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มคุณค่าให้ธุรกิจของคุณเอง
ข้อเสียของโมเดลนายหน้า
- ความยืดหยุ่นต่ำ คล้ายกับธุรกิจแฟรนไชส์ การทำงานภายใต้บริษัทนายหน้ามักต้องปฏิบัติตามกฎและนโยบายของบริษัท ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดสำหรับผู้ประกอบการที่อยากทำธุรกิจในแบบของตัวเอง
- ค่าธรรมเนียมและค่าคอมมิชชัน เพราะนายหน้ามีบริการและข้อได้เปรียบหลายอย่าง พวกเขาก็มักหักส่วนแบ่งจากกำไรของคุณ โดยทั่วไปคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการทำธุรกรรมในรูปแบบค่าคอมมิชชัน
กรณีศึกษาความสำเร็จของโมเดลนายหน้า
The Oppenheim Group คือบริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ที่มีหลายสาขาและทีมตัวแทนขนาดใหญ่ บริษัทนี้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1889 และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ปัจจุบันยังมีรายการโชว์ของตัวเองบน Netflix อีกด้วย
16. โมเดลธุรกิจการขายแบบแพ็กเกจ
การขายแบบ Bundling คือโมเดลธุรกิจออนไลน์ที่นำสินค้าหรือบริการหลายรายการมาขายรวมกันเป็นแพ็กเกจเดียว มักจะเสนอในราคาที่ถูกกว่าซื้อแยก เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเพิ่มคุณค่าที่ลูกค้ามองเห็นและช่วยเพิ่มมูลค่าเฉลี่ยต่อออเดอร์ โมเดลนี้พบได้ทั้งในธุรกิจ B2C และ B2B ตั้งแต่การสมัครใช้ซอฟต์แวร์ ไปจนถึงเซ็ตของขวัญแบบคัดสรร
ข้อดีของโมเดล Bundling
- กระตุ้นยอดขาย การขายแบบแพ็กเกจมักทำให้ลูกค้าซื้อเยอะกว่าที่ตั้งใจไว้ตอนแรก
- ยกระดับประสบการณ์ลูกค้า การนำสินค้าที่เสริมกันมาขายรวมกันช่วยให้ลูกค้าหาสิ่งที่ต้องการได้ง่ายขึ้น
- ลดความซับซ้อนในการตัดสินใจ ลูกค้ามองว่าแพ็กเกจเป็นดีลที่คุ้มค่า ทำให้การตัดสินใจซื้อรวดเร็วขึ้น
ข้อเสียของโมเดล Bundling
- กำไรต่อชิ้นลดลง การขายแพ็กเกจแบบลดราคาอาจกระทบต่อมาร์จิน หากตั้งราคาไม่รอบคอบ
- ความเสี่ยงด้านสต็อก การทำ Bundling ต้องมีสต็อกสินค้าครบทุกชิ้นในแพ็กเกจ ซึ่งอาจสร้างปัญหาเชิงโลจิสติกส์
- การรับรู้ของลูกค้า หากแพ็กเกจมีสินค้าที่ไม่น่าสนใจ ลูกค้าอาจมองว่าดีลไม่คุ้มค่า การให้ลูกค้าปรับแต่งแพ็กเกจเองอาจเป็นทางออกที่ดี
กรณีศึกษาความสำเร็จของโมเดล Bundling
EasyStandard แบรนด์ที่ขายเสื้อผ้าเน้นความสบายและทนทานสำหรับทุกสรีระ หลังจากย้ายมาใช้ Shopify ก็สามารถเพิ่มตัวเลือกการขายแบบ Bundling ให้กับลูกค้า ช่วยทำให้การจัดการฝั่งธุรกิจง่ายขึ้น และสนับสนุนอัตรา Conversion เพิ่มขึ้นถึง 19%
17. โมเดลธุรกิจมาร์เก็ตเพลส
มาร์เก็ตเพลสคือโมเดลธุรกิจออนไลน์ที่เชื่อมต่อผู้ซื้อและผู้ขายไว้บนแพลตฟอร์มเดียว โดยแพลตฟอร์มทำหน้าที่เป็นตัวกลาง ไม่ใช่ผู้ค้าปลีกโดยตรง ตัวอย่างที่รู้จักกันดีได้แก่ Amazon, Etsy และ Airbnb โมเดลนี้สามารถทำงานได้หลากหลายอุตสาหกรรม ทั้ง B2C, B2B และ P2P (ผู้ใช้ขายให้ผู้ใช้) เช่น Craigslist หรือ Poshmark
ข้อดีของโมเดลมาร์เก็ตเพลส
- ไม่ต้องถือสต็อกจำนวนมาก แพลตฟอร์มไม่จำเป็นต้องผลิตหรือเก็บสินค้าเอง ลดต้นทุนเริ่มต้นได้มาก
- ขยายธุรกิจได้ง่าย การเพิ่มผู้ขายใหม่ช่วยขยายสินค้าบนแพลตฟอร์มโดยไม่ต้องลงทุนหนัก
- สร้างรายได้หลายทาง มาร์เก็ตเพลสสามารถหารายได้จากค่าธรรมเนียมการลงขาย ค่าคอมมิชชัน หรือการขายสมาชิกพรีเมียม
ข้อเสียของโมเดลมาร์เก็ตเพลส
- การแข่งขันสูง มาร์เก็ตเพลสมักต้องแข่งกับแพลตฟอร์มใหญ่ที่ครองตลาดอยู่แล้ว
- โลจิสติกส์ซับซ้อน การจัดการข้อพิพาท การควบคุมคุณภาพ และการชำระเงินอาจเป็นเรื่องท้าทาย
- พึ่งพาเครือข่าย (Network effect) ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการดึงดูดทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ต้องใช้การตลาดอย่างหนัก
กรณีศึกษาความสำเร็จของมาร์เก็ตเพลส
Kick Game เริ่มต้นจากแบรนด์ DTC ที่ขายรองเท้า สู่การเป็นร้านค้าปลีกแบบหน้าร้าน และต่อมาเติบโตจนกลายเป็นมาร์เก็ตเพลสระดับโลกแบบหลายช่องทาง ปัจจุบันลูกค้าสามารถเลือกซื้อรองเท้า ถุงเท้า และแอ็กเซสซอรีทั้งจาก Kick Game เองและจากแบรนด์ที่คัดสรรอีกมากมาย
18. โมเดลธุรกิจรีเซล
โมเดลรีเซลคือการซื้อสินค้าแล้วนำมาขายต่อเพื่อทำกำไร โมเดลนี้พบได้บ่อยในอุตสาหกรรมแฟชั่น อิเล็กทรอนิกส์ และของสะสม และสามารถทำได้ทั้งในร้านค้าจริง ร้านค้าออนไลน์ หรือแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น eBay, ThredUp หรือ Poshmark
ข้อดีของโมเดลรีเซล
- เริ่มต้นง่าย ไม่ต้องสร้างสินค้าขึ้นมาเอง ทำให้เริ่มธุรกิจได้เร็วขึ้น
- ยืดหยุ่น การรีเซลช่วยให้ผู้ประกอบการปรับตัวตามเทรนด์ตลาดได้อย่างรวดเร็ว
- มีดีมานด์อยู่แล้ว การขายสินค้าที่เป็นแบรนด์ดังหรือของที่กำลังเป็นกระแส ดึงดูดลูกค้าได้ง่ายกว่า
ข้อเสียของโมเดลรีเซล
- กำไรน้อย ผู้รีเซลมักเจอการแข่งขันด้านราคาและตลาดที่อิ่มตัว ทำให้มาร์จินบาง
- ความเสี่ยงเรื่องสต็อก การเก็บสินค้าที่ขายไม่ออกทำให้เงินทุนจมและเสี่ยงด้านการเงิน
- พึ่งพาซัพพลายเออร์ ผู้รีเซลต้องพึ่งพาบุคคลที่สามในเรื่องคุณภาพและการมีสินค้าพร้อมขาย ซึ่งอาจไม่น่าเชื่อถือได้
กรณีศึกษาความสำเร็จของโมเดลรีเซล
Packer Shoes ร้านค้ารองเท้าชื่อดังจากรัฐนิวเจอร์ซีย์ เริ่มต้นจากร้านรองเท้าเล็กๆ ในชุมชนท้องถิ่น ปัจจุบันขายทั้งรองเท้าแบบคัสตอมและรีเซลรองเท้าจากแบรนด์ระดับโลกอย่าง Adidas, Asics และ Nike
19. โมเดลธุรกิจไม่แสวงหากำไร
องค์กรไม่แสวงหากำไรดำเนินงานโดยมีเป้าหมายในการทำภารกิจมากกว่าการสร้างกำไร องค์กรเหล่านี้มักมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาสังคม สิ่งแวดล้อม หรือการศึกษา และนำรายได้ส่วนเกินกลับมาลงทุนต่อเพื่อขับเคลื่อนภารกิจของตน องค์กรไม่แสวงหากำไรสามารถสร้างรายได้จากการขายสินค้า การระดมทุน หรือการให้บริการ
ข้อดีของโมเดลไม่แสวงหากำไร
- ขับเคลื่อนด้วยพันธกิจ การมีเป้าหมายที่ชัดเจนช่วยดึงดูดผู้สนับสนุนและพนักงานที่มีความมุ่งมั่น
- สิทธิประโยชน์ด้านภาษี หลายประเทศให้สิทธิยกเว้นภาษีแก่ธุรกิจไม่แสวงหากำไร ลดต้นทุนการดำเนินงาน
- เข้าถึงเงินทุนจากภายนอก องค์กรไม่แสวงหากำไรสามารถขอทุน บริจาค หรือสปอนเซอร์เพื่อสนับสนุนกิจการได้
ข้อเสียของโมเดลไม่แสวงหากำไร
- พึ่งพาเงินทุน โมเดลธุรกิจออนไลน์ประเภทนี้มักพึ่งพาเงินทุนจากภายนอก ซึ่งอาจไม่สม่ำเสมอ
- ข้อกำหนดทางกฎหมายเข้มงวด การรักษาสถานะองค์กรไม่แสวงหากำไรต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และการรายงานที่เข้มงวด
- การเติบโตจำกัด การขยายตัวอาจถูกจำกัดด้วยพันธกิจและข้อจำกัดด้านเงินทุน
กรณีศึกษาความสำเร็จของโมเดลไม่แสวงหากำไร
agood company จากสวีเดน ออกแบบและผลิตสินค้าที่ยั่งยืนสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน และยังได้รับการรับรองเป็นบริษัท B Corp พร้อมทั้งมีหน่วยงานไม่แสวงหากำไรชื่อ agood Foundation แบรนด์นี้ใช้ Shopify Plus เพื่อจัดการแคตตาล็อกสินค้ามากกว่า 20,000 รายการ โดยยังคงยึดมั่นในพันธกิจในการปกป้องสิ่งแวดล้อม
วิธีเลือกโมเดลธุรกิจ
สินค้าส่วนใหญ่จะอยู่ภายใต้หนึ่งในโมเดลธุรกิจหลักที่ได้อธิบายไปแล้ว บางธุรกิจเลือกใช้เพียงโมเดลเดียว ขณะที่บางธุรกิจก็ใช้หลายโมเดลควบคู่กันเพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของตนเอง ในอีกมุมหนึ่ง บางครั้งลักษณะของสินค้า หรือตลาดเฉพาะทางที่คุณอยู่ อาจกำหนดโมเดลธุรกิจให้อัตโนมัติ เช่น สินค้าบางประเภทอาจเหมาะสมกับโมเดลใดโมเดลหนึ่งโดยธรรมชาติ ไม่สามารถนำไปปรับใช้กับโมเดลอื่นได้
ไม่ว่าคุณจะเลือกเส้นทางใด โมเดลธุรกิจออนไลน์ที่เลือกจะเป็นตัวกำหนดและหล่อหลอมแผนธุรกิจในระยะยาวของคุณด้วย แม้ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ แต่จริงๆ แล้วคุณมีเครื่องมือที่จะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น มาดูวิธีการเลือกกัน
1. เข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณ
การรู้ว่าคุณอยากขายให้ใครคือก้าวแรกของการทำวิจัยตลาด ข้อมูลนี้จะบอกว่ามีคนเพียงพอที่พร้อมจะซื้อสินค้าของคุณหรือไม่ และช่วยยืนยันว่ามีดีมานด์จริงในตลาด
นอกจากการดูจำนวนคน คุณยังควรทำความเข้าใจพื้นฐานและพฤติกรรมของพวกเขา เพื่อรู้ว่าอะไรเป็นแรงจูงใจในการซื้อสินค้า ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปใช้ต่อได้ในการวางกลยุทธ์เรื่องราคา การพัฒนาสินค้า การตลาด และการโฆษณา
2. ระบุปัญหาที่คุณกำลังแก้ไข
เมื่อคุณรู้จักกลุ่มเป้าหมายดีแล้ว ขั้นต่อไปคือเจาะลึกลงไปที่ “ปัญหา” ที่คุณกำลังแก้ไข ตัวอย่างเช่น หากคุณขายเครื่องประดับ ปัญหาที่คุณแก้ให้ลูกค้าอาจเป็นเรื่องการหาต่างหูคุณภาพสูงในราคาที่จับต้องได้ หรือสร้อยข้อมือที่ใส่ว่ายน้ำได้โดยไม่พัง
เมื่อคุณเข้าใจปัญหานี้ คุณก็จะเข้าใจคุณค่าที่ธุรกิจของคุณมอบให้ลูกค้า สิ่งนี้จะช่วยให้คุณสร้าง Value Proposition ที่แข็งแรง ทำให้ธุรกิจโดดเด่นและยังคงรักษาเอกลักษณ์ตามวิสัยทัศน์เดิม
3. สร้างแผนธุรกิจ
การเขียนแผนธุรกิจคือการวางแผนแม่บทสำหรับธุรกิจของคุณ โดยจะครอบคลุมว่า:
- คุณจะใช้โมเดลธุรกิจประเภทใด
- ลูกค้าของคุณคือใคร
- เงินทุนจะมาจากที่ไหน
- ระบบเบื้องหลังการดำเนินงานทำงานอย่างไร
- กลยุทธ์ในการโปรโมตและเติบโตของธุรกิจ
แผนธุรกิจที่ดีจะช่วยให้คุณมั่นใจว่าธุรกิจสามารถทำกำไรได้จริง โดยคำนึงถึงต้นทุน การตั้งราคา และความท้าทายต่างๆ
ระหว่างกระบวนการนี้ คุณอาจพบว่ามีมากกว่าหนึ่งโมเดลที่เหมาะสมกับธุรกิจ และนั่นไม่ใช่เรื่องผิด คุณสามารถผสมผสานหลายโมเดลเข้าด้วยกัน เช่น คุณอาจขายเสื้อผ้าในร้านค้าปลีก (B2C) หรือบนเว็บไซต์ แต่ในขณะเดียวกันก็ขายส่งล็อตใหญ่ให้ร้านค้าปลีกอื่น (B2B) การใช้หลายโมเดลพร้อมกันอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการบรรลุเป้าหมายและเพิ่มศักยภาพรายได้
เริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ของคุณกับ Shopify
เมื่อคุณเลือกโมเดลธุรกิจออนไลน์ที่ใช่แล้ว มันจะกลายเป็น Launchpad ที่มั่นคงให้คุณขยายธุรกิจและพัฒนาวิธีการสร้างคุณค่าให้ลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าคุณจะใช้โมเดลธุรกิจใด Shopify ช่วยให้คุณออกแบบเว็บไซต์ ขายสินค้า และสร้างแบรนด์ได้ในแพลตฟอร์มเดียวที่ใช้งานง่ายและยืดหยุ่น คุณจะได้เห็นผลลัพธ์ของโมเดลธุรกิจที่ดี หลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เจอ และเดินหน้าสู่เส้นทางผู้ประกอบการด้วยความมั่นใจ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโมเดลธุรกิจออนไลน์
โมเดลธุรกิจมีวิธีสร้างยังไง
คุณสามารถสร้างโมเดลธุรกิจได้ด้วยการเขียนแผนธุรกิจ (Business Plan) ซึ่งจะช่วยให้คุณกำหนดว่าโมเดลธุรกิจใดเหมาะกับคุณที่สุด และเป็นแนวทางในการดำเนินงานในระยะยาว
เมื่อเปิดร้านไปสักระยะ เราจะปรับโมเดลธุรกิจออนไลน์ได้อย่างไร
การปรับโมเดลธุรกิจต้องอาศัยความยืดหยุ่นและการประเมินกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง โดยอิงจากแนวโน้มตลาด ฟีดแบ็กจากลูกค้า และตัวชี้วัดประสิทธิภาพ (KPI) คุณควรติดตามตัวเลขที่สำคัญ วิเคราะห์คู่แข่งอยู่เสมอ และเก็บข้อมูลจากลูกค้าเพื่อนำมาพัฒนา ค่อยๆ ทดลองปรับเปลี่ยนเล็กน้อยก่อนขยายผลในวงกว้าง
โมเดลแคนวาส คืออะไร และมีวิธีทำยังไง
โมเดลแคนวาสคือเครื่องมือเชิงภาพที่ช่วยให้คุณมองเห็นและวิเคราะห์โมเดลธุรกิจของตัวเองอย่างเป็นระบบ ขั้นตอนการสร้างโมเดลแคนวาส
- แบ่งกระดานออกเป็นส่วนสำคัญ เช่น คุณค่าที่นำเสนอ (Value Proposition), กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย, ช่องทางการขาย, ความสัมพันธ์กับลูกค้า, กระแสรายได้, กิจกรรมหลัก, ทรัพยากรหลัก, พันธมิตรหลัก และโครงสร้างต้นทุน
- ระดมความคิดและบันทึกลงในแต่ละส่วน
- จัดเรียงออกมาในเชิงภาพ จะทำบนกระดาษ กระดานไวท์บอร์ด หรือไฟล์ดิจิทัลก็ได้
โมเดลธุรกิจแบบลีน คืออะไร?
โมเดลธุรกิจแบบลีนคือแนวทางที่เน้นความคล่องตัวและความยืดหยุ่น ทำให้ธุรกิจสามารถปรับเปลี่ยนทิศทางได้รวดเร็ว โดยใช้เงินทุนและสต็อกสินค้าให้น้อยที่สุด แต่ยังคงดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง
วัตถุประสงค์ของโมเดลธุรกิจคืออะไร?
โมเดลธุรกิจมีเป้าหมายเพื่ออธิบายว่าการค้าขายและการแลกเปลี่ยนเงินเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเกี่ยวข้องในแต่ละขั้นตอน และธุรกิจสร้างรายได้อย่างไร การเข้าใจโมเดลธุรกิจที่เหมาะสมจึงเป็นหัวใจของการเติบโตอย่างยั่งยืน


