การวางกลยุทธ์ช่องทางการขายกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกธุรกิจ แบรนด์ที่แข็งแกร่งมักใช้ช่องทางการขายหลายช่องทางเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในพื้นที่ที่พวกเขาใช้เวลามากที่สุด
การมอบวิธีการช้อปปิ้งที่สะดวกสบายช่วยเพิ่มการเข้าถึงและการรับรู้แบรนด์ของธุรกิจอีคอมเมิร์ซของคุณ การกระจายธุรกิจไปหลายแพลตฟอร์มยังช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง ทำให้ไม่ต้องพึ่งพาช่องทางเดียวหรือตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป
ในบทความนี้ คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับประเภทต่างๆ ของช่องทางการขายที่ธุรกิจออนไลน์ใช้ และวิธีนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์
ช่องทางการขายคืออะไร?
ช่องทางการขาย คือเส้นทางที่ธุรกิจใช้เพื่อเข้าถึงลูกค้าและขายสินค้า ตลาดออนไลน์ ร้านค้าปลีก และบัญชีโซเชียลมีเดียล้วนเป็นช่องทางการขายที่เป็นไปได้ ช่องทางการขายช่วยให้คุณค้นหาและกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายต่างๆ ดังนั้นหลายธุรกิจจึงมองว่าการขายหลายช่องทางเป็นไอเดียที่ดี
“ตอนนี้เรากำลังเริ่มสร้างช่องทางดิจิทัลเพิ่มเติม” Paul Jauregui ผู้ร่วมก่อตั้ง BK Beauty กล่าว “และท้ายที่สุดแล้ว เรากำลังเข้าถึงลูกค้าในที่ที่พวกเขาต้องการมาหาเรา”
ช่องทางการขายแบบตรง
ธุรกิจของคุณทำงานโดยตรงกับผู้บริโภค ภายใต้กลยุทธ์ช่องทางการขายแบบตรง ตัวอย่างเช่น Apple ขายสินค้าผ่านร้านของตัวเองและเว็บไซต์ของบริษัท
ช่องทางการขายแบบอ้อม
ช่องทางการขายแบบอ้อมใช้บุคคลที่สาม เช่น ตัวแทนจำหน่ายและร้านค้าปลีก เพื่อขายสินค้าให้กับผู้บริโภค เช่น Olipop ขายเครื่องดื่มโซดาเพื่อสุขภาพผ่าน Whole Foods ช่องทางการขายแบบอ้อมยังรวมถึงตลาดออนไลน์ เช่น Amazon, eBay และ Alibaba ด้วย
ช่องทางการจัดจำหน่าย
ช่องทางการจัดจำหน่ายหมายถึงวิธีที่สินค้าขยับจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค หลายบริษัทใช้บุคคลที่สาม เช่น การดรอปชิป บริการพิมพ์ตามสั่ง หรือ 3PLs เพื่อจัดการการเติมเต็มและรักษาต้นทุนให้ต่ำ
10 ช่องทางการขายที่สำคัญที่สุด
- ร้านค้าออนไลน์ (ขายตรงให้ผู้บริโภค)
- ตลาดออนไลน์สมัยใหม่
- ตลาดออนไลน์แบบดั้งเดิม
- ร้านค้าปลีก
- ขายส่ง
- ผู้ค้าแบบรีเซล
- แบรนด์ไวท์เลเบิล
- แอปมือถือ
- การขายแบบ B2B
- พาร์ทเนอร์ด้านช่องทางการขาย
1. ร้านค้าออนไลน์ (ขายตรงให้ผู้บริโภค)
ร้านค้าออนไลน์เป็นช่องทางการขายแรกที่ผู้ประกอบการใหม่หลายคนสร้างขึ้น ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้
เมื่อคุณออกแบบร้านค้าของตัวเอง คุณจะกำหนดได้ว่าผลิตภัณฑ์จะแสดงอย่างไร อีกทั้งยังสามารถดูข้อมูลลูกค้าได้ครบถ้วน และขายตรงถึงผู้บริโภค (DTC) ทำให้คุณได้รับกำไรทั้งหมด
ความสัมพันธ์โดยตรงนี้ช่วยเสริมสร้างแบรนด์ของคุณ งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าอีคอมเมิร์ซแบบ DTC กำลังเติบโตในหลายอุตสาหกรรมและพื้นที่ โดยลูกค้าส่วนใหญ่ชอบซื้อสินค้าจากร้านอิสระมากกว่าร้านค้าหลายแบรนด์
ด้วย Shopify คุณสามารถเปิดช่องทางการขายหลายช่องทางและนำลูกค้ากลับมาที่ร้านของคุณได้
ข้อดี
- ต้นทุนเริ่มต้นต่ำ สร้างร้านได้ฟรีด้วยช่วงทดลองใช้ฟรีของ Shopify
- ใช้ร้านค้าของคุณเป็นศูนย์กลางช่องทางการขาย
- ใช้ข้อมูลลูกค้าเพื่อพัฒนาการสร้างโอกาสขาย
- ไม่มีแบรนด์ของบุคคลที่สามหรือข้อจำกัดเกี่ยวกับสินค้า
- รับกำไรเต็มๆ จากยอดขายของคุณ
ข้อเสีย
- การสร้างทราฟฟิกอาจเป็นเรื่องยากหากไม่มีงบการตลาดขนาดใหญ่
- คุณต้องดูแลการจัดการคำสั่งซื้อเอง (Shopify สามารถช่วยได้)
💡 เลื่อนลงไปที่โพสต์นี้เพื่อดูวิธีการเปิดช่องทางการขายจากร้านค้า Shopify ของคุณ
2. ตลาดออนไลน์สมัยใหม่
ตลาดสมัยใหม่คือแพลตฟอร์มที่เน้นเนื้อหาและเปิดโอกาสให้เกิดการซื้อขาย ซึ่งรวมถึงช่องทางโซเชียลมีเดียอย่าง Instagram, TikTok, Facebook, และ Pinterest นอกจากนี้ยังครอบคลุมถึงเว็บไซต์สตรีมมิ่ง เช่น Spotify
เหตุผลหนึ่งที่ตลาดสมัยใหม่ประสบความสำเร็จในฐานะช่องทางการขายออนไลน์คือผู้ซื้อใช้เวลาบนแพลตฟอร์มเหล่านี้อยู่แล้ว ลูกค้าจะเห็นสินค้าทันทีในบริบทที่คุ้นเคย การเพิ่มปุ่มซื้อในโพสต์โซเชียลมีเดียจึงเป็นขั้นตอนต่อไปที่เหมาะสม
ตัวอย่างเช่น บน Instagram คุณสามารถทำให้โพสต์และ Stories ของคุณสามารถซื้อได้ หากลูกค้าเห็นสินค้าที่ชอบ เพียงแค่แตะสัญลักษณ์ถุงช้อปปิ้ง พวกเขาจะถูกนำไปยังหน้าที่มีรายละเอียดเพิ่มเติม เยี่ยมชมร้านค้าของคุณ และชำระเงิน
Spotify บริการสตรีมเพลงก็เป็นตลาดสมัยใหม่อีกแห่งที่สร้างขึ้นเพื่อการขาย ผู้ฟังสามารถเลื่อนดูโปรไฟล์วงดนตรีเพื่อสั่งจองอัลบั้มหรือซื้อแผ่นไวนิลและสินค้าต่างๆ ได้
ภาพถ่ายหน้าจอตารางทัวร์คอนเสิร์ต คุณสามารถตรวจสอบตารางทัวร์ของ Jamestown Revival และสั่งจองอัลบั้มใหม่ล่าสุดของพวกเขาล่วงหน้าผ่าน Spotify ได้
ข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ลูกค้าเริ่มนิยมซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมากขึ้น ในปี 2023 รายได้จากโซเชียลคอมเมิร์ซทั่วโลกถูกประเมินไว้ที่ 570 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2028
ข้อดี
- แอปช่วยติดตามประสิทธิภาพและปรับแต่งโพสต์ของคุณได้
- คุณสามารถร่วมมือกับแบรนด์อื่นๆ และอินฟลูเอนเซอร์เพื่อขายและโปรโมตข้ามช่องทาง
- แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียส่วนใหญ่มีแม่แบบสำหรับสร้างโฆษณาและโพสต์ที่ใช้งานง่าย
ข้อเสีย
- ต้องสร้างเนื้อหาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผู้ใช้มองเห็นได้
- การสร้างเนื้อหาที่เหมาะกับอัลกอริทึมของโซเชียลมีเดียอาจเป็นเรื่องยาก
💡 คุณสามารถ ขายบน Facebook และ Instagram จากร้านค้า Shopify ของคุณได้เลย

3. ตลาดออนไลน์แบบดั้งเดิม
Amazon, Etsy, eBay, และ Google Shopping เป็นตัวอย่างของตลาดแบบดั้งเดิม ช่องทางเหล่านี้มีสินค้ามากมายให้เลือก และลูกค้าส่วนใหญ่จะค้นหาตามสินค้าที่ต้องการมากกว่าค้นหาตามแบรนด์ที่อยากซื้อ
แม้ว่าตลาดแบบดั้งเดิมจะมีฐานลูกค้าที่มีอยู่แล้ว แต่แพลตฟอร์มเหล่านี้ทำให้คุณต้องเสียการควบคุมการบริการลูกค้าและการจัดส่งสินค้า และยังต้องแข่งขันกันในเรื่องของกำไร
ข้อดี
- นำเสนอผลิตภัณฑ์ของคุณต่อหน้าฐานลูกค้าที่มีอยู่จำนวนมาก
- ใช้ผู้จัดจำหน่ายและช่องทางการตลาดที่มีอยู่แล้ว
ข้อเสีย
- ต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นจากยอดขายที่เกิดขึ้นในตลาดแบบดั้งเดิม
- มีข้อกำหนดเคร่งครัดในการโปรโมตแบรนด์และสินค้า
- การแข่งขันรุนแรง รวมถึงผู้ขายต่างประเทศที่ตั้งราคาต่ำกว่า
4. ร้านค้าปลีก
ช่องทางการขายปลีก ครอบคลุมทั้งร้านค้าถาวรและร้านป๊อปอัป เช่น การเช่าพื้นที่สั้นๆ ในห้างสรรพสินค้า บูธในงานแฟร์ หรือแผงขายของในตลาดท้องถิ่น ช่องทางนี้เปิดโอกาสให้คุณสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าแบบตัวต่อตัวและรับข้อเสนอแนะสดๆ ได้ ช่องทางขายปลีกเป็นส่วนสำคัญในยุทธศาสตร์การค้าสมัยใหม่
ข้อดี
- การติดต่อแบบตัวต่อตัวกับลูกค้า
- การขายตรงให้กับลูกค้า
ข้อเสีย
- มีต้นทุนเพิ่มขึ้นมาก และอาจต้องจ้างพนักงาน
- ค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจร้านค้าจริงสูง
5. ขายส่ง
การขายส่ง คือการขายสินค้าของคุณให้กับธุรกิจอื่นๆ ที่จะนำไปขายต่อในรูปแบบค้าปลีก บางธุรกิจเลือกใช้การขายส่งเป็นช่องทางการขายหลักเพียงช่องทางเดียว ขณะที่บางธุรกิจใช้การขายส่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ช่องทางการขายแบบหลายช่องทาง
ข้อดี
- สามารถเคลื่อนย้ายสินค้าคงคลังจำนวนมากได้ในครั้งเดียว
- ร้านค้าปลีกจะทำการตลาดและขายสินค้าของคุณให้
ข้อเสีย
- ต้องมีเงินทุนสำหรับซื้อสินค้ามาสต๊อก
- อาจมีค่าใช้จ่ายสูงในการเก็บสินค้าที่ขายไม่ออก
- ไม่มีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับลูกค้าของคุณ
6. ผู้ค้าแบบรีเซล
ผู้ขายต่อคือใครก็ตามที่เพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์และขายในราคาที่สูงขึ้น การเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์อาจหมายถึงการเชื่อมโยงกับผู้ค้าปลีกที่มีชื่อเสียง การบรรจุใหม่ หรือแม้กระทั่งการปรับปรุงผลิตภัณฑ์เอง
ข้อดี
- ต้นทุนค่าดำเนินการต่ำ
- มีโอกาสขายสินค้าเพิ่ม (Upselling)
ข้อเสีย
- ราคาสินค้าและความพร้อมจำหน่ายอาจผันผวนตามประเภทสินค้า
- กำไรไม่สม่ำเสมอ
- ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการขายต่อของผู้ผลิตต้นทาง

7. ผลิตภัณฑ์ไวท์เลเบิล
ผลิตภัณฑ์ไวท์เลเบิลคือ สินค้าทั่วไปที่สามารถนำมาใส่โลโก้หรือชื่อแบรนด์ของตัวเองได้ ตัวอย่างเช่น ถุงผ้าแบรนด์ซูเปอร์มาร์เก็ตที่ขายอยู่หน้าแคชเชียร์ Trader Joe’s ไม่ได้ผลิตถุงเหล่านั้นเอง แต่ซื้อจากผู้ผลิตที่มีอยู่ แล้วสั่งพิมพ์ชื่อแบรนด์ของตนลงไป
ข้อดี
- ลดต้นทุนการผลิต
- สามารถขายสินค้าตามกระแสได้ เช่น ขวดน้ำสแตนเลส
- เป็นสินค้าที่ผ่านการทดสอบตลาดมาแล้ว
ข้อเสีย
- มีการแข่งขันสูง
- ราคาขายขึ้นอยู่กับราคาสินค้าสำเร็จรูปจากซัพพลายเออร์
💡 เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์ของธุรกิจแบรนด์ไวท์เลเบิล
8. แอปมือถือ
ภายในปี 2025 ยอดขายผ่านมือถือคาดว่าจะคิดเป็นมากกว่า 10% ของยอดขายค้าปลีกทั้งหมดในสหรัฐฯ
ผู้บริโภคหันมาช้อปปิ้งผ่านแอปกันมากขึ้น ทำให้หลายแบรนด์พัฒนาแอปของตัวเองให้ใช้งานได้หลากหลายยิ่งขึ้น เช่น การจัดแคตตาล็อกสินค้าให้ค้นหาได้ง่าย เพิ่มลูกเล่นให้เหมือนเกม มอบคูปอง หรือข้อเสนอพิเศษเฉพาะคนที่ดาวน์โหลดแอปและช้อปปิ้งผ่านแอป
ข้อดี
- ผู้ใช้งานใช้เวลาอยู่บนแอปมากกว่าบนเว็บไซต์
- ใช้แอปเป็นช่องทางแจกโปรโมชันพิเศษได้
ข้อเสีย
- ต้นทุนในการพัฒนาแอปอาจสูง
- ต้องมีการอัปเดตแอปอย่างต่อเนื่องให้ทันเทคโนโลยี

9. การขายแบบ B2B
การขายแบบ B2B คือการที่ธุรกิจหนึ่งขายสินค้า หรือบริการให้กับอีกธุรกิจหนึ่ง
ข้อดี
- บริษัทมีกำลังซื้อสูงกว่าผู้บริโภคทั่วไป
- หากสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าธุรกิจได้ดี ก็มีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นลูกค้าประจำ
- พนักงานขายสามารถใช้เครือข่ายและความเชี่ยวชาญของตัวเองในการหาลูกค้าและปิดการขายได้
ข้อเสีย
- บริษัทมักใช้เวลานานในการตัดสินใจซื้อ
- อาจมีต้นทุนสูงขึ้นในการผลิตสินค้าหรือบริการสำหรับธุรกิจ
10. พาร์ทเนอร์ด้านช่องทางการขาย
การเป็นพาร์ทเนอร์ด้านช่องทางการขายคือการว่าจ้างบริษัทหรือบุคคลให้ทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของทีมขายของคุณ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อบริษัทใช้อินฟลูเอนเซอร์บนโซเชียลมีเดียในการโปรโมตสินค้าโดยใช้กลยุทธ์การตลาดอินฟลูเอ็นเซอร์ นั่นถือเป็นการเป็นพาร์ทเนอร์ด้านช่องทางการขาย อินฟลูเอนเซอร์จะได้รับส่วนลดสำหรับสินค้าเหล่านั้น หรือค่าคอมมิชชันจากยอดขายที่เกิดจากโพสต์ของพวกเขา ในขณะที่บริษัทได้ประโยชน์จากการเข้าถึงของอินฟลูเอ็นเซอร์และความไว้วางใจจากผู้ติดตามของพวกเขา
ข้อดี
- มีความไว้วางใจจากผู้บริโภคในตัวอยู่แล้ว
- เข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่
- ประหยัดงบประมาณในการทำแคมเปญการตลาด
ข้อเสีย
- พาร์ทเนอร์อาจสื่อสารแบรนด์ของคุณผิดพลาด
- ได้ข้อมูลลูกค้าน้อยกว่าการขายโดยตรง
- อาจต้องแบ่งกำไรบางส่วนให้พาร์ทเนอร์เพื่อให้ความร่วมมือคุ้มค่าสำหรับทั้งสองฝ่าย

ยอดขายอีคอมเมิร์ซทั่วโลกคาดว่าจะสูงถึง 6.09 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2024 ต่อไปนี้คือตัวเลขบางส่วนที่บอกเล่าเรื่องราวของการขายสินค้าออนไลน์ในระดับโลก
ตัวอย่างแบรนด์ที่ใช้หลายช่องทางการขาย
ช่องทางการขายแต่ละช่องทางมีคุณค่าในการเข้าถึงลูกค้าในรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่หากคุณใช้เพียงช่องทางเดียว ธุรกิจของคุณก็จะถูกจำกัดด้วยขอบเขตและการเติบโตของช่องทางนั้น
หากคุณใช้หลายช่องทางร่วมกัน คุณสามารถกระจายทรัพยากรไปยังช่องทางที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุดได้ ต่อไปนี้คือตัวอย่างว่าเจ้าของร้าน Shopify ได้ประโยชน์จากการขายแบบหลายช่องทางอย่างไร
The Poster List — ออนไลน์ ขายปลีก ขายส่ง
Adam Luedicke เจ้าของและผู้ก่อตั้งร้านโปสเตอร์ The Poster List ในลองบีช ใช้การขายส่ง งานแสดงสินค้าต่างๆ และการขายออนไลน์เป็น 3 ช่องทางหลักในการทำธุรกิจ
ตั้งแต่เริ่มธุรกิจในปี 2006 Adam พบว่าช่องทางบางอย่างเติบโต ขณะที่บางช่องทางชะลอตัว ซึ่งมักเกิดจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ เช่น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือการแพร่ระบาดของโควิด
The Poster List
“ตอนเริ่มต้น รายได้หลักมาจากงานแสดงสินค้าแทบทั้งหมดเลย” Adam เล่า “แต่ช่วงปี 2010 ถึง 2015 มันกลับ กลายเป็นการขายส่งที่ทำเงินมากกว่า แล้วพอถึงปี 2017 ตลาดเสื้อผ้าในร้านค้าปลีกเริ่มแผ่ว เราเลยหันกลับมาจัดงานแสดงอีกครั้ง”
ด้วยการสร้างช่องทางการขายที่หลากหลาย The Poster List จึงสามารถปรับตัวได้รวดเร็วต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดในภาพรวม การเข้าถึงลูกค้าผ่านช่องทางที่สอดคล้องกับแบรนด์ของคุณ จะช่วยให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
Abracadana — มาร์เก็ตเพลส ออนไลน์
Mary Helt เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและเจ้าของ Abracadana ร้านค้าที่ขายผ้าพันคอที่พิมพ์ลาย
“การมีช่องทางขายหลายๆ ช่องทางเป็นเรื่องดีค่ะ” เธอกล่าว “บางครั้งรู้สึกเหมือนช่องทางหนึ่งดึงฉันไป เช่น Etsy ก็ดึงความสนใจจาก Shopify หรือถ้ากำลังอัปเดตร้าน Shopify ก็ไม่ได้ใส่ใจ Etsy เท่าไหร่ ซึ่งฉันคิดว่านั่นก็ไม่เป็นไร คุณสามารถสลับสับเปลี่ยนกันได้ แนะนำให้ลองใช้ช่องทางขายหลายๆ ช่องทางดูว่าช่องทางไหนเหมาะกับคุณที่สุด อย่าฝากไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียวเด็ดขาด”
ผู้ก่อตั้งร้านผ้าพันคอ Abracadana ใช้ทั้งร้าน Etsy และเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ Shopify เป็นช่องทางการขาย
วิธีสร้างกลยุทธ์การขายหลายช่องทาง
ช่องทางการขายของคุณควรทำงานร่วมกันและสนับสนุนสายผลิตภัณฑ์หลักของคุณ
ตัวอย่างเช่น คุณอาจทำธุรกิจส่วนใหญ่ผ่านเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของคุณ แต่ก็จัดโปรโมชั่นขายสินค้าคงคลังส่วนเกินแบบแฟลชผ่านสตอรี่ Instagram
เมื่อคุณเริ่มต้นธุรกิจ คุณอาจให้ความสำคัญกับช่องทางการขายเพียงช่องทางเดียว การขยายธุรกิจด้วยการสำรวจช่องทางการขายใหม่ๆ อาจดูน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วไม่ยากอย่างที่เจ้าของร้านคิด
นี่คือ 5 เคล็ดลับสำหรับการบริหารช่องทางการขายแบบหลายช่องทาง
1. จัดลำดับความสำคัญของช่องทางการขายตามความสามารถในการทำกำไร
การขายแบบหลายช่องทางอย่างมีประสิทธิภาพคือการระบุช่องทางที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ ในการทำเช่นนี้ คิดถึง:
- ที่ที่กลุ่มเป้าหมายของคุณใช้เวลาอยู่
- ช่องทางใดมีต้นทุนดำเนินงานต่ำที่สุด
- ช่องทางที่คู่แข่งของคุณมีการทำกิจกรรมอยู่
ตัวอย่างเช่น การขายสินค้าของคุณในตลาดแบบดั้งเดิมอย่าง Amazon, Etsy หรือ eBay อาจเป็นก้าวถัดไปที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซของคุณ
เมื่อคุณเห็นว่าช่องทางใดสามารถทำกำไรได้ คุณก็สามารถจัดลำดับความสำคัญของช่องทางอื่นๆ ตามลำดับ โดยเปลี่ยนไปยังช่องทางใหม่เมื่อประสบความสำเร็จในช่องทางก่อนหน้าแล้ว
💡 อ่านคู่มือ Shopify เพื่อดูเคล็ดลับในการขายบน Etsy และวิธีการขายบน eBay
2. สร้างกลยุทธ์ที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละช่องทางการขาย
แต่ละช่องทางการขายที่คุณเพิ่มเข้ามาในธุรกิจจะต้องการกลยุทธ์ที่แตกต่างกันเพื่อความสำเร็จ ตัวอย่างเช่น คุณจะใช้วิธีที่แตกต่างกันในการดึงลูกค้าไปยังร้านค้าออนไลน์ กับการสร้างความคึกคักให้กับร้านค้าปลีกแบบออฟไลน์
นอกจากนี้ คุณยังต้องปรับคำอธิบายสินค้าและข้อความทางการตลาดให้เหมาะสมกับแต่ละแพลตฟอร์ม เว็บไซต์ Shopify ของคุณอาจเน้นเรื่องความรวดเร็วในการจัดส่งสินค้า แต่ลูกค้าบน Amazon คุ้นเคยกับความเร็วนี้แล้ว ดังนั้นคุณต้องหาวิธีใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้า
3. จัดการสต็อกสินค้าและการดำเนินการคำสั่งซื้อ
เมื่อคุณขยายไปยังช่องทางการขายที่หลากหลายมากขึ้น คุณจำเป็นต้องมีระบบที่เหมาะสมสำหรับการจัดการสต็อกสินค้าและการจัดส่งคำสั่งซื้อ การเพิ่มช่องทางการขายจะช่วยเพิ่มยอดขายโดยรวม และคุณต้องมั่นใจว่ามีสต็อกสินค้าเพียงพอรองรับการเติบโตนี้
นอกจากนี้ คุณยังต้องมั่นใจว่าคุณมีความสามารถในการจัดส่งคำสั่งซื้อทั้งหมด มิฉะนั้น คุณอาจต้องพิจารณาจ้างผู้ช่วยมาช่วยดูแลเรื่องการจัดส่ง เพื่อให้คุณสามารถตามทันและขยายธุรกิจของคุณไปยังช่องทางการขายใหม่ๆ ได้อย่างราบรื่น
4. รับประกันคุณภาพการบริการลูกค้าทั่วทั้งช่องทางการขาย
การเติบโตของธุรกิจหมายความว่า คุณอาจมีปัญหาของลูกค้ามากขึ้น ดังนั้นคุณต้องรักษาคุณภาพการบริการลูกค้าไว้ พิจารณาจ้างตัวแทนบริการลูกค้าหรือสำรวจแอปบริการลูกค้าใน Shopify App Store

การเพิ่มแชทสดบนเว็บไซต์ Shopify ของคุณเป็นวิธีที่จัดการได้ง่ายสำหรับการตอบคำถามและแก้ไขปัญหาของลูกค้าเมื่อธุรกิจเริ่มขยายตัว โหลดแอปติดมือถือหรือคอมพิวเตอร์ของคุณ เพื่อให้สามารถตอบกลับได้อย่างรวดเร็วทุกครั้งที่มีข้อความเข้ามา
5. ติดตามยอดขายและการวิเคราะห์ของคุณ
ให้สังเกตจำนวนยอดขายที่แต่ละช่องทางทำได้ ช่องทางใหม่อาจต้องใช้เวลาสักระยะในการเติบโต แต่คุณต้องติดตามยอดขายเพื่อให้แน่ใจว่าช่องทางนั้นเริ่มคืนทุนได้ และสามารถสร้างกำไรเพิ่มเติมได้ในที่สุด
หากพบว่าช่องทางใดมียอดขายไม่เพียงพอ ให้จัดทำแคมเปญการตลาดที่มุ่งเป้าไปยังช่องทางนั้นเพื่อช่วยกระตุ้นยอดขาย อาจจะเป็นเพียงการเพิ่มการรับรู้แบรนด์เพื่อให้ลูกค้าค้นพบช่องทางการขายอื่นๆ ของคุณมากขึ้น
ทำไมร้านค้าออนไลน์จึงควรเป็นศูนย์กลางช่องทางการขายของคุณ
คุณสามารถเปรียบช่องทางการขายแต่ละช่องทางเหมือนหัวน็อตที่มีรูปแบบแตกต่างกัน ขณะที่คุณสร้างธุรกิจ อาจอยากสร้างไขควงเฉพาะสำหรับปลดล็อกช่องทางขายหนึ่งช่องทางเท่านั้น แต่แบบนั้นจะช่วยได้แค่บางส่วนเท่านั้น
คุณอยากสร้างไขควงเฉพาะ หรือไขควงอเนกประสงค์? เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอย่าง Shopify คือทางเลือกแบบอเนกประสงค์ ที่คุณสามารถถอดเปลี่ยนหัวไขควงให้เหมาะกับการปลดล็อกแต่ละช่องทางได้อย่างง่ายดาย
การเริ่มต้นด้วยเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซช่วยให้คุณวางรากฐานแบรนด์ ค้นหาทิศทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และตั้งศูนย์บัญชาการก่อนที่คุณจะเร่งความสำเร็จผ่านช่องทางการขายตรงและทางอ้อมอื่นๆ
ถ้าคุณใช้ช่องทางขายประเภทอื่นอยู่แล้ว เช่น ตลาดแบบดั้งเดิมหรือโซเชียลมีเดีย นี่คือเหตุผลว่าทำไมการมีร้านค้าออนไลน์จึงเป็นประโยชน์กับคุณด้วยเช่นกัน
ความสะดวกในการใช้งาน
เมื่อคุณเริ่มต้น โดยเฉพาะถ้าคุณยังอยู่ในขั้นตอนพัฒนาผลิตภัณฑ์ การสร้างธุรกิจบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์จก่อน แล้วค่อยเชื่อมต่อกับช่องทางการขายต่างๆ เมื่อพร้อมขยายธุรกิจ อาจเป็นวิธีที่ง่ายกว่า
อุปสรรคใหญ่ที่สุดสำหรับการเข้าไปในตลาดแบบดั้งเดิมคือ พวกเขาต้องการข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและถูกต้องตั้งแต่แรกเริ่ม แม้ว่าคุณจะยังอยู่ในช่วงพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ก็ตาม ตัวอย่างเช่น การจะได้รับการอนุมัติให้ขายในตลาดออนไลน์ คุณต้องส่งข้อมูลรายละเอียดของผลิตภัณฑ์อย่างครบถ้วน รวมถึงรหัสระบุผลิตภัณฑ์ เช่น หมายเลข SKU หรือ ISBN
การสร้างภายในระบบนิเวศที่แยกจากกัน
ลูกค้าติดตามเทรนด์ทั้งในแง่ของสินค้าที่พวกเขาซื้อและแพลตฟอร์มที่พวกเขาเลือกช้อปปิ้ง แพลตฟอร์มของบุคคลที่สามมักได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เช่น นโยบายเปลี่ยนไป อัลกอริทึมมีการปรับ และผู้ใช้ย้ายไปยังที่อื่น เพราะคุณไม่สามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ จึงไม่ควรพึ่งพาแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่งมากเกินไปสำหรับการทำยอดขาย
Shopify ช่วยให้คุณตั้งจุดเชื่อมต่อต่างๆ สู่ธุรกิจของคุณผ่านช่องทางการขายหลายช่องทาง แต่ทุกเส้นทางจะนำกลับมาที่สำนักงานใหญ่ Shopify ของคุณ ซึ่งคุณจะยังคงควบคุมและเข้าถึงลูกค้าได้อย่างเต็มที่ หมายความว่าคุณสามารถขายสินค้าให้กับกลุ่มเป้าหมายของคุณบนแพลตฟอร์ม ช่องทาง หรือเว็บไซต์ตลาดใดก็ได้ที่พวกเขาใช้งานอยู่
The Poster List สามารถเก็บยอดขายจากร้านค้าออนไลน์ได้ทั้งในช่วงงานแสดงสินค้าและหลังงานแสดงสินค้า ทำให้สามารถเพิ่มยอดขายได้สูงสุดทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ในช่วงสุดสัปดาห์เหล่านั้น
ข้อจำกัดของผู้ขาย
เมื่อคุณขายผ่านช่องทางตลาดแบบดั้งเดิม ช่องทางเหล่านั้นจะควบคุมการสร้างแบรนด์และวิธีการอัปโหลดสินค้า รวมถึงเป็นเจ้าของข้อมูลลูกค้าและการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า ลูกค้าจะมีความเชื่อมโยงกับสินค้าและตลาดมากกว่าแบรนด์ของคุณเอง ทำให้ยากต่อการสร้างความแตกต่างจากร้านอื่นที่ขายสินค้าคล้ายหรือเหมือนกัน
ตลาดเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ในฐานะผู้ขาย คุณจะได้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ต้องการเยี่ยมชมตลาด แต่ต้องแลกกับการสูญเสียสิทธิ์ควบคุมหลายอย่าง ตลาดอาจตัดสินใจโดยพิจารณาจากผู้ขายส่วนใหญ่ หรือเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ผู้ซื้อ (ซึ่งอาจเป็นผลเสียต่อผู้ขาย) และคุณต้องยอมรับสิ่งนี้เพื่อแลกกับการเข้าถึงกลุ่มผู้ชมของตลาดนั้น
โดยรวม ความสัมพันธ์ของคุณกับตลาดแบบดั้งเดิมเป็นเรื่องของการแลกเปลี่ยน คุณอาจได้ฐานลูกค้าที่พร้อมใช้งาน แต่มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียตัวตนของแบรนด์หากไม่สร้างตัวตนออนไลน์ของตัวเองก่อนจะลงขายในตลาดเหล่านั้น
ผู้ก่อตั้ง Maryink สร้างร้านค้าอีคอมเมิร์ซแยกออกจากร้าน Etsy ของพวกเขาในชื่อ Abracadana เพื่อสร้างแบรนด์ขึ้นมาเอง
การสร้างเรื่องราวแบรนด์
แม้คุณจะสามารถสร้างแบรนด์ที่น่าดึงดูดบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหรือที่ร้านค้าปลีกได้ แต่คุณไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพบนตลาดแบบดั้งเดิม
แมรี่สร้างร้าน Shopify แยกขึ้นมาเพื่อแยกความแตกต่างของแบรนด์ใหม่จากธุรกิจเดิม Maryink ของเธอ “ฉันอยากจะก้าวออกจาก Maryink และพัฒนาแบรนด์ใหม่ที่ยังคงเชื่อมโยงกับ Maryink แต่สามารถสื่อถึงภาพลักษณ์ของผ้าพันคอได้” แมรี่กล่าว “ดังนั้นเราจึงตั้งชื่อว่า Abracadana เพราะเราคิดว่าผ้าพันคอนั้นมีความมหัศจรรย์ มันเรียบง่ายและทำได้หลายอย่าง เราจึงแยกออกมาและเริ่มสร้างเว็บไซต์ Shopify ของเรา เพราะคุณสามารถทำได้มากกว่าด้านการออกแบบ และนั่นสำคัญกับเรา”
เว็บไซต์ที่คุณเป็นเจ้าของเหมือนผืนผ้าเปล่าที่ช่วยให้คุณแสดงแบรนด์ได้เต็มที่ แต่ในตลาดออนไลน์ คุณต้องจำกัดแบรนด์ให้เข้ากับข้อกำหนดที่มีอยู่ ทำให้คุณแสดงออกถึงแบรนด์ได้ยากและส่งผลให้สร้างความประทับใจได้ยากขึ้นมาก
วิธีตั้งค่าช่องทางการขายในร้าน Shopify ของคุณ
การจัดการช่องทางการขายผ่านร้าน Shopify เป็นวิธีที่ดีในการทำให้ธุรกิจของคุณง่ายและเป็นระเบียบ
Shopify ช่วยให้คุณเชื่อมต่อกับช่องทางการขายต่างๆ ได้มากมาย ต่อไปนี้คือวิธีตั้งช่องทางการขายเพิ่มเติมใน Shopify
1. ไปที่แดชบอร์ดของร้านคุณ ทางเมนูด้านซ้ายจะเห็นคำว่า “ช่องทางการขาย” พร้อมลูกศรอยู่ข้างๆ ให้เลือกเมนูนั้น

2. จากนั้นจะมีหน้าต่างเด้งขึ้นมา หากคุณต้องการค้นหาช่องทางการขายที่เพิ่มไว้แล้ว ให้พิมพ์ชื่อช่องทางนั้นในแถบค้นหา หากต้องการเพิ่มช่องทางการขายใหม่ ให้เลือกแอปที่แนะนำ หรือคลิกที่ “ช่องทางการขายที่แนะนำทั้งหมด”

3. หากไม่พบช่องทางการขายที่ต้องการในรายการ ให้เลือกที่ “Shopify App Store” ที่ด้านล่างของหน้าต่าง ใน Shopify App Store ให้เลื่อนหาแอปช่องทางการขายที่ต้องการเพิ่ม คลิกที่แอปนั้นแล้วเลือก “เพิ่มแอป”
💡 นี่คือแอปที่ดีที่สุด สำหรับเพิ่มช่องทางการขายในร้านค้า Shopify ของคุณ
การสร้างธุรกิจที่มีความยืดหยุ่น
โดยการสร้างสำนักงานใหญ่ให้ธุรกิจของคุณผ่านร้านค้าออนไลน์ คุณจะเตรียมตัวสู่ความสำเร็จในหลายด้าน คุณจะสามารถพัฒนาบรนด์ที่เป็นเอกลักษณ์ และรักษาสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของลูกค้าและข้อมูลของคุณได้
ช่องทางการขายช่วยให้แบรนด์ของคุณเข้าถึงลูกค้าในสถานที่ที่พวกเขาใช้เวลาและให้ความสนใจอยู่แล้ว ด้วย Shopify การซื้อขายบนแพลตฟอร์มเหล่านี้จะเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าของคุณ นอกจากนี้ ช่องทางเหล่านี้ยังเชื่อมต่อกับร้านค้าออนไลน์ของคุณ ทำให้คุณยังคงเข้าถึงข้อมูลคำสั่งซื้อ ความสัมพันธ์กับลูกค้า และตัวตนของแบรนด์ได้
ความต้องการของลูกค้า ตลาดออนไลน์ โซเชียลมีเดีย และตลาดการค้าทั่วไปมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การสร้างร้านค้าอีคอมเมิร์ซที่เป็นศูนย์กลางจะช่วยให้คุณมีระบบขายที่ยืดหยุ่นและธุรกิจที่แข็งแรงมากขึ้น
ภาพประกอบโดย Mitch Blunt
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับช่องทางการขาย
ตัวอย่างของช่องทางการขายคืออะไร
ตัวอย่างของช่องทางการขายได้แก่ Amazon, Instagram และร้านค้าออนไลน์อีคอมเมิร์ซ Amazon ถือเป็นตลาดออนไลน์แบบดั้งเดิม ส่วน Instagram คือ ตลาดออนไลน์สมัยใหม่
ช่องทางการขายที่พบบ่อยที่สุดคืออะไร
ช่องทางการขายที่พบบ่อยที่ ได้แก่
- ร้านค้าออนไลน์
- ตลาดออนไลน์แบบดั้งเดิม
- โซเชียลมีเดีย
- ร้านค้าปลีก (ทั้งแบบชั่วคราวและถาวร)
- ขายส่ง


