คุณเป็นเจ้าของร้านค้าปลีกที่กำลังจะจ้างพนักงานคนแรกหรือเปล่า? ถ้าใช่ แสดงว่าคุณได้ผ่านด่านแรกของการขยายทีมมาแล้ว
ขั้นตอนต่อไปคือ การรู้ว่าควรเริ่มจ้างตำแหน่งไหนก่อน
ลองพิจารณาว่าตำแหน่งงานร้านค้าแบบไหนที่จะช่วยสร้างรายได้ และตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจได้มากที่สุด
ตัวอย่างเช่น ถ้าร้านของคุณมีลูกค้าต่อคิวคิดเงินยาวตลอดเวลา การจ้างแคชเชียร์อาจเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ควรทำก่อน แต่ถ้าลูกค้าบนพื้นที่ขายมีมากเกินกว่าที่คุณจะดูแลได้ด้วยตัวเอง พนักงานขายอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะกว่า
การเข้าใจความต้องการของร้าน พร้อมโฟกัสไปที่ตำแหน่งที่ช่วยสร้างรายได้ จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ถูกต้องมากขึ้น และก่อนจะประกาศรับสมัครงาน ลองพิจารณาให้ชัดว่าควรจ้างตำแหน่งใดก่อนและเมื่อไหร่
ในคู่มือนี้ คุณจะได้รู้จักตำแหน่งงานร้านค้าที่พบบ่อยที่สุด หน้าที่หลัก ทักษะที่จำเป็นของงานในร้านค้า และช่วงเวลาที่เหมาะจะเพิ่มตำแหน่งเหล่านั้นเข้ามาในทีมของคุณ
วิธีคิดในการสร้างทีมร้านค้าให้เติบโตอย่างยั่งยืน
การจ้างงานในร้านค้าปลีกไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องปรับตามจังหวะของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นช่วงลูกค้าเข้าร้านเยอะ ความต้องการจากหลายช่องทาง หรือมาตรฐานการบริการที่สูงขึ้น ยิ่งร้านของคุณได้รับความนิยมมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องการคนเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
แต่สิ่งสำคัญคือ ต้อง “จ้างให้ถูกคน” เพราะพนักงานที่ไม่เหมาะอาจสร้างความเสียหายได้มากกว่าที่คิด จากผลสำรวจของ PwC ด้านประสบการณ์ลูกค้า (CX) พบว่า ลูกค้ากว่า 32% ยอมเลิกใช้แบรนด์ที่ชื่นชอบหลังจากมีประสบการณ์แย่เพียงครั้งเดียว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพนักงานด่านหน้าอย่างแคชเชียร์และพนักงานขายมีบทบาทสำคัญในการดูแลลูกค้าให้ประทับใจ
เมื่อยอดขายและจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น แค่มีคนมากขึ้นอาจไม่พอ รายงานยอดขายรวมตามช่วงเวลาของ Shopify POS สามารถช่วยระบุช่วงเวลาที่ร้านค้ามีลูกค้าเยอะที่สุด เพื่อให้คุณจัดตารางพนักงานได้ตรงจังหวะ เพิ่มโอกาสในการขายให้มากที่สุด ขณะเดียวกัน หัวหน้าทีมและผู้จัดการร้านจะเข้ามาช่วยกำหนดเป้าหมาย ดูแลการทำงาน และสร้างระบบให้ทีมทำงานได้ราบรื่น
เมื่อระบบพื้นฐานเริ่มลงตัวแล้ว การเพิ่มผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางจะช่วยยกระดับกระบวนการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น นักออกแบบจัดวางสินค้า, ฝ่ายจัดซื้อ, ทีมการตลาด และผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ ซึ่งจะช่วยปรับตั้งแต่การคัดเลือกสินค้าไปจนถึงการสร้างโปรแกรมลูกค้าประจำแบบ Omnichannel
การจ้างงานอย่างมีกลยุทธ์คือหัวใจสำคัญ เพราะทุกตำแหน่งใหม่ควรต่อยอดจากตำแหน่งเดิม เพื่อให้ร้านของคุณเติบโตด้วยทีมที่แข็งแรง ทำงานร่วมกันได้อย่างมั่นใจ และพร้อมขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า
15 ตำแหน่งงานร้านค้ารีเทล
ไม่มีลำดับตำแหน่งงานที่ตายตัวสำหรับร้านค้าปลีกทุกรูปแบบ แต่การทำความเข้าใจกับลำดับทั่วไปนี้จะช่วยให้คุณจ้างพนักงานได้อย่างเหมาะสมเมื่อร้านเริ่มเติบโต
- ตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการบริการลูกค้าในร้าน
- ตำแหน่งบริหารและหัวหน้าทีมร้านค้า
- ตำแหน่งงานด้านการจัดการและพัฒนาร้านค้า
ตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการบริการลูกค้าในร้าน
ตำแหน่งเหล่านี้มักเป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพในสายงานค้าปลีก ให้ประสบการณ์พื้นฐานด้านการบริการลูกค้าและการขาย
1. พนักงานขาย
ช่วงรายได้โดยเฉลี่ย: 15,000–30,000 บาทต่อเดือน (ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และยอดขาย)
พนักงานขายคือหัวใจของการบริการหน้าร้าน เพราะเป็นคนที่ช่วยให้ลูกค้ารู้ว่ามีคนคอยให้ความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถามสินค้า แนะนำสินค้าที่ตรงกับความต้องการ หรือช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น ทั้งหมดนี้มีผลโดยตรงต่อยอดขายของร้าน
หากร้านของคุณมีบริการอย่างการจองเวลาช้อปปิ้งหรือรับสินค้าหน้าร้าน พนักงานขายจะช่วยดูแลขั้นตอนเหล่านี้ให้ราบรื่นด้วย
หน้าที่อื่นของพนักงานขายมักรวมถึงการดูแลให้ร้านดูสะอาดและเป็นระเบียบ จัดเรียงสินค้า เติมสต๊อก และช่วยคิดเงินให้ลูกค้า (ถ้าร้านไม่มีแคชเชียร์แยกต่างหาก) รวมถึงช่วยทีมทำยอดขายให้ถึงเป้าทุกเดือน
ร้านค้าขนาดใหญ่ เช่น ร้านเสื้อผ้าแบรนด์ใหญ่หรือห้างสรรพสินค้า มักมีตำแหน่งเฉพาะอย่าง “พนักงานจัดสต๊อกสินค้า” แยกต่างหาก เพื่อดูแลเรื่องการเติมของโดยเฉพาะ
ทักษะสำคัญของพนักงานขาย
- สื่อสารกับลูกค้าได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ
- ทำงานร่วมกับทีมได้ดี
- แก้ปัญหาเฉพาะหน้าและรับมือสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
- พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่และปรับตัวได้ดี
- มีความเป็นระเบียบและใส่ใจรายละเอียด
- ใช้งานระบบ POS (เครื่องคิดเงินอัตโนมัติ) ได้
- มีพื้นฐานคณิตศาสตร์และความเข้าใจด้านการเงินเบื้องต้น
ควรจ้างพนักงานขายตอนไหน
ถ้าสังเกตว่าลูกค้าหลายคนต้องการความช่วยเหลือแต่ไม่มีใครดูแล หรือคุณไม่สามารถให้บริการได้ทั่วถึงด้วยตัวเอง นั่นคือเวลาที่เหมาะจะเพิ่มพนักงานขายเข้ามาในทีม
2. แคชเชียร์
ช่วงรายได้โดยเฉลี่ย: 14,000–25,000 บาทต่อเดือน (ขึ้นอยู่กับทำเลและประเภทของร้าน)
ตำแหน่งแคชเชียร์อาจดูเรียบง่าย แต่จริง ๆ แล้วมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะร้านที่มีลูกค้าเข้ามาซื้อของต่อเนื่องทุกวัน แคชเชียร์ที่ผ่านการฝึกอบรมมาเปฺ็นอย่างดีจะช่วยให้ขั้นตอนการชำระเงินรวดเร็ว ราบรื่น และสร้างความประทับใจให้ลูกค้า
หน้าที่ของแคชเชียร์รวมถึงการรับชำระเงินและจัดการธุรกรรมต่าง ๆ ทักทายลูกค้าเมื่อเข้ามาในร้าน ช่วยดูแลการคืนสินค้าและแลกเปลี่ยนสินค้า ตอบโทรศัพท์ และแนะนำโปรโมชั่นหรือโปรแกรมสะสมแต้มก่อนลูกค้าชำระเงิน
ทักษะสำคัญของแคชเชียร์
- ให้บริการลูกค้าได้อย่างเป็นมิตรและมืออาชีพ
- ใช้ระบบ POS และจัดการเงินสดได้อย่างถูกต้อง
- มีระเบียบและใส่ใจรายละเอียด
- แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี
- มีพื้นฐานคณิตศาสตร์และการเงิน
ควรจ้างแคชเชียร์ตอนไหน
หากร้านของคุณเริ่มมีลูกค้าจำนวนมากและขั้นตอนการชำระเงินใช้เวลานาน การเพิ่มแคชเชียร์จะช่วยให้ลูกค้าใช้บริการได้สะดวกขึ้น และช่วยเพิ่มยอดขายโดยรวมของร้าน
3. เจ้าหน้าที่บริการลูกค้า
ช่วงรายได้โดยเฉลี่ย: 18,000–45,000 บาทต่อเดือน (ขึ้นอยู่กับระดับภาษาและประสบการณ์ โดยเฉพาะร้านที่มีช่องทางออนไลน์)
เจ้าหน้าที่บริการลูกค้าแตกต่างจากพนักงานขายตรงที่พวกเขาจะดูแลลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น โทรศัพท์ อีเมล หรือโซเชียลมีเดีย ตอบคำถามเกี่ยวกับสินค้า การสั่งซื้อ หรือปัญหาหลังการขาย รวมถึงจัดการกับรีวิวเชิงลบ ลูกค้าที่ให้บริการยาก หรือข้อร้องเรียนตามนโยบายของร้าน เพื่อสร้างความพึงพอใจและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว
ทักษะสำคัญของเจ้าหน้าที่บริการลูกค้า
- สื่อสารได้ดี มีทัศนคติบริการที่ดีเยี่ยม
- แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้รวดเร็ว
- มีพลังบวกและทักษะการฟังที่ดี
- มีระเบียบและใส่ใจรายละเอียด
- ทำงานได้ทั้งเป็นทีมและแบบอิสระ
- ใช้คอมพิวเตอร์และระบบบริการลูกค้าได้คล่อง
ควรจ้างแคชเชียร์ตอนไหน
หากร้านเริ่มได้รับข้อความหรือโทรศัพท์สอบถามจำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อมีทั้งช่องทางหน้าร้านและออนไลน์ การเพิ่ม CSR จะช่วยให้ร้านตอบสนองลูกค้าได้เร็วขึ้นและลดปัญหาการพลาดโอกาสขาย
ตำแหน่งบริหารและหัวหน้าทีมร้านค้า
ตำแหน่งกลุ่มนี้คือหัวใจสำคัญของการบริหารร้านค้าปลีก เพราะช่วยให้การดำเนินงานเป็นระบบ ทีมทำงานสอดประสานกัน และทุกคนมุ่งไปในเป้าหมายเดียวกัน
4. หัวหน้าทีม
ช่วงรายได้โดยเฉลี่ย: 25,000–45,000 บาทต่อเดือน
การมีหัวหน้าทีมในร้านค้าปลีกช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อทีมเริ่มขยายใหญ่ หัวหน้าทีมจะดูแลแผนกหรือกลุ่มพนักงานเฉพาะ คอยตรวจสอบให้ทุกงานดำเนินไปอย่างถูกต้อง พร้อมสร้างแรงจูงใจและความร่วมมือในทีม
หน้าที่หลักของหัวหน้าทีม ได้แก่ ดูแลและมอบหมายงานให้สมาชิกทีม ฝึกอบรมพนักงานใหม่ ให้คำแนะนำแก่หัวหน้าแผนก และรักษาประสิทธิภาพรวมถึงขวัญกำลังใจของทีม อีกทั้งยังเป็นตัวกลางระหว่างพนักงานกับผู้บริหาร เพื่อแก้ไขปัญหาและสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี
ด้วย Shopify POS หัวหน้าทีมสามารถจัดการงานได้ง่ายขึ้น ผ่านฟีเจอร์บริหารพนักงาน เช่น
- จัดตารางเวลาพนักงาน
- ตรวจสอบการจัดการเงินสดและตู้แคชเชียร์
- ดูบันทึกการทำงานของทีมเพื่อวางแผนฝึกอบรม
- กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงระบบตามบทบาทของทีม
ทักษะสำคัญของหัวหน้าทีม
- มีประสบการณ์ด้านผู้นำในธุรกิจค้าปลีกหรือคล้ายกัน
- มีทักษะการสื่อสารและการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่ดี
- บริหารเวลาและลำดับความสำคัญได้ดี
- เข้าใจระบบการทำงานของร้านค้าและการบริการลูกค้า
- ปรับตัวได้ดีในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงเร็ว
ควรจ้างหัวหน้าทีมตอนไหน
เมื่อทีมของคุณขยายใหญ่เกินกว่าจะบริหารโดยตรงได้ทั้งหมด หรือเมื่อแต่ละแผนกต้องการผู้นำเฉพาะทาง ควรเริ่มเพิ่มตำแหน่งหัวหน้าทีมในโครงสร้างร้าน
5. ผู้ช่วยผู้จัดการร้าน
ช่วงรายได้โดยเฉลี่ย: 28,000–50,000 บาทต่อเดือน
ผู้ช่วยผู้จัดการร้านคือมือขวาของผู้จัดการร้าน มีหน้าที่สนับสนุนการดำเนินงานประจำวัน เช่น ดูแลตารางพนักงาน ประชุมทีม ตรวจสอบการเปิด–ปิดร้าน และดูแลมาตรฐานการทำงาน
ในบางกรณี ผู้ช่วยผู้จัดการร้านจะเป็นคนจัดการกับปัญหาลูกค้าหรือข้อร้องเรียนก่อนส่งต่อให้ผู้จัดการร้าน เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น
ทักษะสำคัญของผู้ช่วยผู้จัดการร้าน
- มีประสบการณ์บริหารทีมในร้านค้าปลีก
- มีทักษะการแก้ปัญหา ภาวะผู้นำ และการสื่อสาร
- เข้าใจเป้าหมายทางธุรกิจและการบริหารยอดขาย
- รักษามาตรฐานและนโยบายของบริษัทได้ดี
- ให้บริการลูกค้าได้อย่างยอดเยี่ยม
- จัดตารางเวลาพนักงานได้อย่างมีระบบ
ควรจ้างผู้ช่วยผู้จัดการร้านตอนไหน
เมื่อผู้จัดการร้านเริ่มมีภาระงานมากขึ้น และร้านมีจำนวนพนักงานหรือสาขาเพิ่มขึ้น นี่คือเวลาที่เหมาะจะเพิ่มผู้ช่วยผู้จัดการร้านเข้ามา เพื่อแบ่งเบาภาระและรักษาความต่อเนื่องของการบริหาร
6. ผู้จัดการร้าน
ช่วงรายได้โดยเฉลี่ย: 35,000–80,000 บาทต่อเดือน (หรือมากกว่านั้นสำหรับร้านแฟชั่น ห้างสรรพสินค้า หรือแบรนด์พรีเมียม)
หน้าที่ของผู้จัดการร้านควรปรับให้เข้ากับความต้องการของธุรกิจ แต่โดยทั่วไปแล้ว ผู้จัดการร้านจะรับผิดชอบงานหลักที่เจ้าของร้านเคยทำเอง เช่น ดูแลการดำเนินงานประจำวัน จัดตารางพนักงาน ฝึกอบรมทีมใหม่ วิเคราะห์แนวโน้มยอดขาย และทำการตลาดให้ร้าน
นอกจากนี้ ผู้จัดการร้านยังดูแลเรื่องงบประมาณ เงินเดือน ความปลอดภัยภายในร้าน และการบังคับใช้นโยบายของบริษัท รวมถึงให้บริการลูกค้าโดยตรงในบางกรณี พูดง่าย ๆ คือ ผู้จัดการร้านคือคนที่ต้อง “แทนเจ้าของร้านได้” พร้อมขับเคลื่อนรายได้และประสิทธิภาพของทีมให้สูงขึ้น
Shopify POS ช่วยให้ผู้จัดการร้านทำงานง่ายขึ้นด้วยฟีเจอร์ เช่น
- ระบบจัดตารางและบันทึกเวลาเข้าทำงาน
- ติดตามประสิทธิภาพพนักงานรายบุคคล
- กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงระบบของแต่ละตำแหน่ง
- ดูรายงานยอดขายแบบเรียลไทม์
ทักษะสำคัญของผู้จัดการร้าน
- มีประสบการณ์บริหารทีมในร้านค้าปลีก
- แก้ปัญหาและสื่อสารได้ยอดเยี่ยม
- ตั้งเป้าหมายทางธุรกิจและทำได้ตามเป้า
- รักษามาตรฐานและนโยบายของบริษัทได้
- เข้าใจแนวโน้มการขาย โปรโมชั่น และการจัดวางสินค้าในตลาดค้าปลีก
- มีทักษะการบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม
- จัดการตารางเวลาทีมได้อย่างเป็นระบบ
ควรจ้างผู้จัดการร้านตอนไหน
เมื่อคุณมีพนักงานหลายตำแหน่งและเริ่มต้องการคนดูแลการดำเนินงานประจำวันแทน การจ้างผู้จัดการร้านจะช่วยให้คุณมีเวลาโฟกัสกับการขยายธุรกิจ เช่น การเปิดสาขาใหม่ ป๊อปอัพสโตร์ หรือพัฒนาแคมเปญการตลาดเพิ่มเติม
ตำแหน่งงานด้านการจัดการและพัฒนาร้านค้า
- นักจัดวางสินค้าในร้าน
- ฝ่ายจัดซื้อ
- เจ้าหน้าที่ควบคุมสต๊อก
- ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและโฆษณา
- ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล
- เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหรือตรวจสอบการสูญหาย
- ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการร้านค้า
- ผู้จัดการประสบการณ์ลูกค้า
- ผู้ประสานงานด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน
ตำแหน่งเหล่านี้มีบทบาทเกินกว่าการดูแลงานประจำวันทั่วไป เพราะต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อช่วยให้ร้านค้าขยายกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสนับสนุนการทำงานของทีมบริหารในทุกระดับ
7. นักจัดวางสินค้าในร้าน
ช่วงรายได้โดยเฉลี่ย: 25,000–45,000 บาทต่อเดือน
หากคุณเคยสะดุดตากับสินค้าที่จัดโชว์อย่างสวยงามหรือหน้าร้านที่ดึงดูดสายตา เบื้องหลังนั้นคือนักจัดวางสินค้าที่ออกแบบและจัดเรียงสินค้าอย่างมีแผน เพื่อกระตุ้นยอดขายและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า พวกเขาเข้าใจหลักจิตวิทยาผู้บริโภคและการออกแบบเชิงกลยุทธ์ เพื่อให้สินค้าโดดเด่นในตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุด
นักจัดวางสินค้ายังมีบทบาทในช่วงเปิดตัวสินค้าใหม่ จัดโปรโมชั่น หรือแคมเปญทางการตลาด โดยช่วยจัดฉากถ่ายภาพสินค้า และกระตุ้นให้ลูกค้าสร้างคอนเทนต์ (UGC) ผ่านช่องทางออนไลน์ นอกจากนี้ยังสามารถประสานงานกับซัพพลายเออร์ในกรณีที่ร้านยังไม่มีฝ่ายจัดซื้อโดยเฉพาะ
ทักษะสำคัญของนักจัดวางสินค้า
- มีประสบการณ์ในการออกแบบและจัดโชว์สินค้า
- วางแผนการจัดเรียงพื้นที่ขายได้อย่างเป็นระบบ
- คิดเชิงสร้างสรรค์และมีกลยุทธ์
- บริหารเวลาและจัดการงานหลายอย่างพร้อมกันได้ดี
- ประสานงานกับซัพพลายเออร์และผู้ผลิตได้
- มีความแข็งแรงเพียงพอสำหรับงานที่ต้องเคลื่อนย้ายสินค้า
- ทำงานได้ทั้งแบบเดี่ยวและเป็นทีม
- วิเคราะห์ข้อมูลยอดขายเพื่อวางแผนพื้นที่ขายได้
ควรจ้างนักจัดวางสินค้าตอนไหน
หากคุณรู้สึกว่าการจัดร้านยังไม่ดึงดูดเท่าที่ควร หรืออยากปรับภาพลักษณ์ร้านให้ดูทันสมัยและสวยงามขึ้น การมี Visual Merchandiser จะช่วยยกระดับบรรยากาศร้านได้อย่างเห็นผล โดยเฉพาะเมื่อคุณกำลังย้ายไปเปิดร้านใหม่หรือปรับโฉมร้านเดิม
8. ฝ่ายจัดซื้อ
ช่วงรายได้โดยเฉลี่ย: 30,000–60,000 บาทต่อเดือน
หน้าที่ของฝ่ายจัดซื้อ ไม่ได้มีแค่การซื้อสินค้าเข้าร้าน แต่คือการวิเคราะห์ว่าควรนำสินค้าแบบใดมาวางขาย ทั้งในหน้าร้านและออนไลน์ เพื่อให้ตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภคและสร้างกำไรสูงสุด พวกเขายังเป็นคนต่อรองราคาและจัดหาดีลที่ดีที่สุดกับซัพพลายเออร์และผู้ผลิต
ทักษะสำคัญของฝ่ายจัดซื้อ
- มีทักษะเจรจาต่อรองและจัดการสัญญาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- วิเคราะห์สินค้าได้ทั้งด้านราคา คุณภาพ และแนวโน้มตลาด
- ประสานงานกับซัพพลายเออร์และผู้ผลิตได้ดี
- มีระเบียบและใส่ใจรายละเอียด
- จัดการคำสั่งซื้อและติดตามระดับสต๊อกสินค้าได้อย่างแม่นยำ
ควรจ้างฝ่ายจัดซื้อตอนไหน
หากคุณเริ่มขาดเวลาในการหาสินค้าที่เหมาะสม หรืออยากปรับไลน์สินค้าของร้านให้มีความหลากหลายและน่าสนใจมากขึ้น การมี Buyer จะช่วยให้ร้านของคุณได้สินค้าคุณภาพในราคาที่คุ้มค่าที่สุด
9. เจ้าหน้าที่ควบคุมสต๊อก
ช่วงรายได้โดยเฉลี่ย: 22,000–40,000 บาทต่อเดือน (ขึ้นอยู่กับขนาดของร้านและระบบจัดการภายใน)
เจ้าหน้าที่ควบคุมสต๊อกมีบทบาทสำคัญในการจัดการสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพ ป้องกันของขาดหรือของเกิน รวมถึงช่วยลดต้นทุนด้วยการวางระบบตรวจสอบสินค้าและรายงานข้อมูลที่แม่นยำ พวกเขายังรับผิดชอบการตรวจคุณภาพสินค้าที่รับเข้าร้าน และรายงานความเสียหายหรือข้อผิดพลาดของสินค้า
ตำแหน่งนี้สามารถปรับขอบเขตหน้าที่ให้เหมาะกับโครงสร้างร้านได้ ตั้งแต่ร้านค้าขนาดเล็กไปจนถึงธุรกิจที่มีหลายสาขา
ทักษะสำคัญของเจ้าหน้าที่ควบคุมสต๊อก
- มีประสบการณ์จัดการสต๊อกสินค้าในร้านค้าปลีก
- วิเคราะห์และจัดทำรายงานได้ดี
- จัดระบบขั้นตอนการควบคุมสต๊อกอย่างมีประสิทธิภาพ
- รักษาผลกำไรของร้านด้วยการควบคุมต้นทุนสินค้า
- คิดวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์และละเอียดรอบคอบ
- ใช้โปรแกรมจัดการสต๊อกได้ เช่น ระบบ POS หรือ ERP
ควรจ้างเจ้าหน้าที่ควบคุมสต๊อกตอนไหน
หากคุณเริ่มมีสินค้าหลากหลายประเภทหรือจำนวนมากเกินกว่าที่ฝ่ายจัดซื้อจะดูแลได้ทั้งหมด การเพิ่มตำแหน่งนี้จะช่วยให้ร้านควบคุมสต๊อกได้แม่นยำ ป้องกันการสูญเสีย และวางแผนการสั่งสินค้าได้ดียิ่งขึ้น
10. ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและโฆษณา
ช่วงรายได้โดยเฉลี่ย: 25,000–60,000 บาทต่อเดือน (ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และขนาดของธุรกิจ)
เมื่อร้านค้าปลีกของคุณเริ่มเติบโต การเพิ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและโฆษณาเข้ามาในทีมจะช่วยขยายการมองเห็นของแบรนด์และเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตำแหน่งนี้มีบทบาทสำคัญในการวางแผนและดำเนินแคมเปญโปรโมชัน ทั้งในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาฐานลูกค้าเดิม
หน้าที่หลักรวมถึงการวางกลยุทธ์การตลาด จัดการงบโฆษณา วิเคราะห์แนวโน้มตลาด และประสานงานกิจกรรมส่งเสริมการขาย นอกจากนี้ยังต้องทำงานร่วมกับฝ่ายอื่น ๆ เพื่อให้ภาพลักษณ์และข้อความของแบรนด์มีความสอดคล้องกันในทุกช่องทาง ซึ่งคุณสามารถเลือกจ้างนักการตลาดทั่วไป หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง ตามความเหมาะสมของร้าน
ทักษะสำคัญของผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและโฆษณา
- มีประสบการณ์ด้านการตลาดหรือโฆษณา โดยเฉพาะในธุรกิจค้าปลีก
- วิเคราะห์ข้อมูลและใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจได้ดี
- มีความคิดสร้างสรรค์และสามารถพัฒนาแคมเปญที่โดดเด่น
- ใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์มดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งได้อย่างคล่องแคล่ว
- มีทักษะการสื่อสารและทำงานร่วมกับทีมได้ดี
ควรจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและโฆษณาตอนไหน
หากคุณต้องการขยายฐานลูกค้า เปิดตัวสินค้าใหม่ หรือเพิ่มการมองเห็นของแบรนด์ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง นี่คือเวลาที่เหมาะสมในการเพิ่มตำแหน่งด้านการตลาดเข้ามาช่วยยกระดับร้านของคุณให้เติบโตต่อเนื่อง
11. ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล
ช่วงรายได้โดยเฉลี่ย: 40,000–90,000 บาทต่อเดือน
เมื่อร้านค้าปลีกของคุณเริ่มขยายทีมให้ใหญ่ขึ้น การบริหารทรัพยากรบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพคือสิ่งจำเป็น เพื่อรักษาความพึงพอใจของพนักงานและปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานอย่างถูกต้อง ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลมีบทบาทสำคัญในการสรรหาพนักงานใหม่ ดูแลการฝึกอบรมและพัฒนา รักษาบุคลากรที่มีความสามารถ รวมถึงจัดการความสัมพันธ์ภายในทีมให้เป็นไปอย่างราบรื่น
หน้าที่หลักของตำแหน่งนี้คือวางนโยบายและแนวทางด้านทรัพยากรบุคคล ดูแลกระบวนการสรรหาและปฐมนิเทศพนักงาน จัดการเรื่องสวัสดิการและเงินเดือน ดูแลการดำเนินการทางวินัย และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีให้กับทีม
ทักษะสำคัญของผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล
- มีประสบการณ์ด้านการบริหารบุคคล โดยเฉพาะในธุรกิจค้าปลีก
- เข้าใจกฎหมายแรงงานและข้อกำหนดด้านการจ้างงานเป็นอย่างดี
- มีความสามารถในการบริหารงานหลายด้านพร้อมกัน
- สื่อสารและประสานงานกับคนได้ดี
- ใช้ซอฟต์แวร์หรือระบบ HR ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ควรจ้างผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลตอนไหน
หากจำนวนพนักงานในร้านเริ่มมากเกินกว่าที่คุณจะดูแลได้ด้วยตัวเอง หรือเริ่มมีประเด็นที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน HR การจ้างผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะช่วยให้การบริหารคนในทีมเป็นระบบ และช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างมั่นคง
12. เจ้าหน้าที่ป้องกันการสูญหายหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
ช่วงรายได้โดยเฉลี่ย: 15,000–30,000 บาทต่อเดือน (ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และประเภทของร้าน เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือร้านทอง)
การปกป้องทรัพย์สินของร้านและสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้กับทั้งลูกค้าและพนักงานคือสิ่งสำคัญ การจ้างเจ้าหน้าที่ป้องกันการสูญหายหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะช่วยลดความเสี่ยงจากการขโมยสินค้า การก่อวินาศกรรม หรือเหตุไม่คาดคิดภายในร้านได้อย่างมาก
หน้าที่หลักของตำแหน่งนี้ ได้แก่ ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด เดินตรวจรอบพื้นที่ร้าน ป้องกันการโจรกรรมหรือการทุจริตภายในร้าน และรับมือกับเหตุการณ์ด้านความปลอดภัย นอกจากนี้ยังอาจร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือหน่วยรักษาความปลอดภัยท้องถิ่น เพื่อวางมาตรการดูแลร้านให้ปลอดภัยอยู่เสมอ
ทักษะสำคัญของเจ้าหน้าที่ป้องกันการสูญหายหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
- มีประสบการณ์ด้านความปลอดภัยหรือการบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะในธุรกิจค้าปลีก
- มีทักษะการสังเกตและตรวจสอบที่ละเอียดรอบคอบ
- ควบคุมสติและตัดสินใจได้ดีในสถานการณ์กดดัน
- เข้าใจระบบรักษาความปลอดภัยและขั้นตอนการทำงานต่าง ๆ
- สื่อสารได้ดีและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้อย่างเหมาะสม
ควรจ้างเจ้าหน้าที่ป้องกันการสูญหายหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเมื่อใด
หากร้านของคุณเริ่มมีเหตุการณ์ขโมยสินค้าเพิ่มขึ้น หรือขยายพื้นที่ร้านให้ใหญ่ขึ้นจนต้องการระบบความปลอดภัยมากกว่าเดิม นี่คือเวลาที่เหมาะในการเพิ่มเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัย เพื่อป้องกันความเสียหายและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและทีมงาน
13. ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการร้านค้า
ช่วงรายได้โดยเฉลี่ย: 50,000–100,000 บาทต่อเดือน
ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการร้านค้าคือผู้ดูแลภาพรวมของทั้งงานหน้าร้านและงานหลังร้านในหลายสาขา เพื่อให้การดำเนินงานของทุกสาขาเป็นไปอย่างราบรื่น และมีการสื่อสารที่ชัดเจนกับสำนักงานใหญ่ ตำแหน่งนี้มีบทบาทสำคัญในการวางระบบงาน ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ควบคุมงบประมาณ และเชื่อมการทำงานระหว่างแผนกต่าง ๆ
ในแต่ละวัน ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการอาจดูแลการแก้ไขความคลาดเคลื่อนของสต๊อก ตรวจสอบมาตรฐานร้านออกคำแนะนำหรือแนวทางการปฏิบัติงานให้สาขา และร่วมกับผู้จัดการร้านเพื่อวางแผนกำลังคนในแต่ละพื้นที่
ทักษะสำคัญของผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการร้านค้า
- มีประสบการณ์ด้านการบริหารงานค้าปลีกและการจัดการหลายสาขา
- วิเคราะห์ข้อมูลและแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ
- จัดการงบประมาณและวางแผนทางการเงินได้ดี
- ใช้งานซอฟต์แวร์หรือระบบจัดการร้านค้าได้อย่างคล่องแคล่ว
- มีภาวะผู้นำและสามารถทำงานร่วมกับหลายทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เข้าใจตัวชี้วัดด้านธุรกิจ (KPI) และข้อมูลเชิงวิเคราะห์ในงานค้าปลีก
- มีทักษะด้านการปรับปรุงกระบวนการทำงาน (Process Optimization)
ควรจ้างผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการร้านค้าตอนไหน
เมื่อธุรกิจของคุณขยายสาขาเพิ่มขึ้นและต้องการคนดูแลการดำเนินงานโดยเฉพาะ ควรมีผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการเข้ามาช่วยดูแลให้ทุกสาขาทำงานตามมาตรฐานเดียวกัน และรายงานผลการดำเนินงานให้คุณทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำ
14. ผู้จัดการประสบการณ์ลูกค้า
ช่วงรายได้โดยเฉลี่ย: 60,000–120,000 บาทต่อเดือน (ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และขนาดธุรกิจ โดยเฉพาะร้านที่ขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์)
ผู้จัดการประสบการณ์ลูกค้ามีหน้าที่ออกแบบประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อ ให้ลูกค้ารู้สึกดีตลอดเส้นทางการซื้อ ไม่ว่าจะช้อปผ่านหน้าร้าน เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย มาร์เก็ตเพลส หรือร้านชั่วคราวตำแหน่งนี้มีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในยุคที่ร้านค้าต้องเชื่อมทุกช่องทางการขายและระบบหลังบ้านเข้าด้วยกัน
หน้าที่หลักคือวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและพฤติกรรมการซื้อ ประสานงานกับทุกแผนกเพื่อปรับปรุงการให้บริการ และดูแลให้ประสบการณ์ของลูกค้าสอดคล้องกันในทุกช่องทาง พวกเขายังช่วยออกแบบกลยุทธ์การขายแบบ Omnichannel ให้ร้านเชื่อมโยงทุกช่องทางการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้จัดการประสบการณ์ลูกค้าสมัยใหม่มักใช้แนวคิด Unified Commerce (ระบบซอฟต์แวร์ที่เชื่อมโยงช่องทางการขายทั้งหมดไว้ในแพลตฟอร์มเดียว) ในการทำงาน เชื่อมข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางไว้ในระบบเดียว พร้อมทั้งวางแผนสร้างโปรแกรมสมาชิกสะสมแต้ม ใช้เครื่องมือดูแลลูกค้าและพัฒนาแคมเปญการตลาดเพื่อเพิ่มความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้า
ทักษะสำคัญของผู้จัดการประสบการณ์ลูกค้า
- เข้าใจการวางแผนเส้นทางประสบการณ์ลูกค้า ทั้งในร้านและออนไลน์
- ใช้ระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าและเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจค้าปลีกได้
- มีประสบการณ์ใช้งานระบบ POS ที่เชื่อมกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
- วิเคราะห์ข้อมูลและจัดทำรายงานได้อย่างแม่นยำ
- เข้าใจเทคโนโลยีค้าปลีกและแนวโน้มใหม่ ๆ ของตลาด
- มีประสบการณ์ออกแบบระบบสมาชิกและการแนะนำสินค้า
- เข้าใจทั้งมุมมองของลูกค้าและระบบภายในร้าน
ควรจ้างผู้จัดการประสบการณ์ลูกค้าตอนไหน
ถ้าร้านของคุณเริ่มขายผ่านหลายช่องทาง หรือพบว่าลูกค้าได้รับประสบการณ์ไม่สม่ำเสมอระหว่างช่องทาง ถึงเวลาที่ควรมีผู้จัดการประสบการณ์ลูกค้า มาช่วยออกแบบประสบการณ์การช้อปปิ้งให้เชื่อมต่อกันอย่างราบรื่น สร้างความประทับใจ และเพิ่มยอดขายได้ในระยะยาว
15. เจ้าหน้าที่ประสานงานด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน
ช่วงรายได้โดยเฉลี่ย: 30,000–60,000 บาทต่อเดือน (ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และขนาดของธุรกิจ)
เจ้าหน้าที่ด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนคือผู้ดูแลการเคลื่อนย้ายสินค้าทั้งหมด ตั้งแต่ซัพพลายเออร์ไปจนถึงถึงคลังสินค้า หน้าร้าน และมือลูกค้า เพื่อให้สินค้ามีพร้อมจำหน่ายและจัดการสต๊อกได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกช่องทางการขาย พวกเขาทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ คลังสินค้า และบริษัทขนส่ง เพื่อปรับปรุงกระบวนการจัดส่งให้รวดเร็วและคุ้มค่าที่สุด
หน้าที่หลักรวมถึงการบริหารพื้นที่คลังสินค้า วางแผนตารางการขนส่งสินค้า ดูแลความสัมพันธ์กับผู้ให้บริการขนส่ง รวมถึงแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการ เช่น การจัดส่งล่าช้า หรือการจัดการคืนสินค้าที่ซับซ้อน
ทักษะสำคัญของเจ้าหน้าที่โลจิสติกส์และซัพพลายเชน
- มีประสบการณ์ด้านโลจิสติกส์หรือการบริหารซัพพลายเชนในธุรกิจค้าปลีก
- เข้าใจระบบจัดการสต๊อกและการควบคุมสินค้าคงคลัง
- ใช้ซอฟต์แวร์บริหารซัพพลายเชนได้อย่างคล่องแคล่ว
- มีความเป็นระเบียบและบริหารเวลาได้ดี
- มีประสบการณ์ในการขนส่งและจัดการพาร์ทเนอร์ด้านโลจิสติกส์
- วิเคราะห์ต้นทุนและปรับระบบขนส่งให้มีประสิทธิภาพสูงสุดได้
- เข้าใจการจัดการคลังสินค้าและขั้นตอนการจัดเก็บสินค้าอย่างเหมาะสม
ควรจ้างเจ้าหน้าที่โลจิสติกส์และซัพพลายเชนตอนไหน
หากร้านของคุณเริ่มมีระบบจัดการสต๊อกที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น มีหลายคลังสินค้า หลายซัพพลายเออร์ หรือเริ่มมีต้นทุนขนส่งสูงเกินไป นี่คือเวลาที่ควรเพิ่มเจ้าหน้าที่ซัพพลายเชนเข้ามาช่วยจัดระบบให้คล่องตัว ควบคุมต้นทุน และวางรากฐานการขยายธุรกิจอย่างยั่งยืน
สร้างทีมให้ร้านของคุณวันนี้เลย
เราได้พูดถึงตำแหน่งงานร้านค้าที่พบได้บ่อยที่สุด หน้าที่หลัก ทักษะสำคัญ และช่วงเวลาที่เหมาะสมในการจ้างไปแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาสร้างประกาศรับสมัครงานและวางแผนการจ้างทีมของคุณให้พร้อมเติบโต
อย่าลืมเซฟบทความนี้ไว้เป็นคู่มือสำหรับการสร้างทีมในอนาคต เมื่อธุรกิจของคุณขยายใหญ่ขึ้น คุณจะสามารถใช้ข้อมูลนี้ช่วยหาคนที่เหมาะกับร้านของคุณได้รวดเร็วและแม่นยำ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับตำแหน่งงานร้านค้า
ตำแหน่งงานร้านค้า มีอะไรบ้าง
- แคชเชียร์
- พนักงานขาย
- เจ้าหน้าที่บริการลูกค้า
- ผู้จัดการร้าน
- นักจัดวางสินค้า
- ฝ่ายจัดซื้อ
หน้าที่หลักของงานในร้านค้าปลีกคืออะไร
- ดูแลและให้บริการลูกค้า
- ตอบคำถามเกี่ยวกับสินค้า
- รับชำระเงินจากลูกค้า
- จัดการคืนสินค้าและเปลี่ยนสินค้า
- เติมสินค้าและจัดเรียงบนชั้นวาง
งานในร้านค้าที่รายได้สูงที่สุดคือตำแหน่งไหน
- ฝ่ายจัดซื้อ รายได้เฉลี่ย 70,000–150,000 บาทต่อเดือน
- ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการร้านค้า 60,000–130,000 บาทต่อเดือน
- ผู้จัดการประสบการณ์ลูกค้ 60,000–120,000 บาทต่อเดือน
- ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล 50,000–100,000 บาทต่อเดือน
- ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและโฆษณา 40,000–80,000 บาทต่อเดือน
- ผู้จัดการร้าน 5,000–80,000 บาทต่อเดือน
ภาพรวมของตำแหน่งงานร้านค้าปลีกคืออะไร?
ธุรกิจค้าปลีกมีตำแหน่งหลากหลาย ตั้งแต่พนักงานขายหน้าร้าน ไปจนถึงผู้จัดการร้านและฝ่ายซัพพลายเชน แต่ละตำแหน่งมีบทบาทต่างกันเพื่อให้ร้านทำงานได้อย่างราบรื่นและสร้างยอดขายได้ต่อเนื่อง


