เมื่อ Bob McClure ต้องการยกระดับธุรกิจครอบครัว McClure’s Pickles เขาได้เช่าพื้นที่ทำงานร่วมในโรงงานเต้าหู้ แต่กลับเจอปัญหาจากแบคทีเรียดีในอากาศที่เกิดจากกระบวนการหมักถั่วเหลือง ซึ่งทำให้แตงกวาดองล็อตแรกของเขาเสียหายทั้งหมด
ทุกอุตสาหกรรมย่อมมีความท้าทาย แต่ธุรกิจอาหารมักเจออุปสรรคเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงทางกฎหมายที่สูงขึ้น การบริหารสต็อกกับวันหมดอายุที่ต้องคุมอย่างละเอียด หรือซัพพลายเชนที่อาจผันผวนได้ง่ายตั้งแต่สภาพอากาศไปจนถึงเชื้อจุลินทรีย์ในอากาศ
อย่างไรก็ตาม สำหรับหลายคน ไม่มีอะไรจะเติมเต็มได้เท่ากับการทำอาหารอร่อย ๆ และได้เลี้ยงดูผู้คน ถ้าคุณพร้อมจะรับความท้าทายและทำให้ความฝันการเริ่มธุรกิจอาหาร (หรือขายอาหารออนไลน์) เป็นจริง คุณมาถูกที่แล้ว
คู่มือแบบทีละขั้นตอนนี้จะพาคุณไปเรียนรู้วิธีขายอาหารออนไลน์ พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ทั้งการทำให้ถูกต้องตามกฎหมายอาหาร การใช้งบการตลาดให้คุ้มค่า และการสร้างแบรนด์อาหารให้น่ากินจนลูกค้าอยากสั่ง
ติดตามความก้าวหน้าของการเริ่มต้นธุรกิจได้ง่าย ๆ ด้วยเช็กลิสต์ธุรกิจอาหาร
วิธีขายอาหารออนไลน์ใน 13 สเต็ป
- ศึกษากฎหมายอาหาร
- หา Niche ของคุณ
- เลือกรูปแบบธุรกิจ จะผลิตเองหรือหาของมาขาย
- หาแหล่งวัตถุดิบ
- เลือกรูปแบบการผลิตอาหาร
- สร้างแบรนด์ของคุณ
- คำนวณทุน
- ตั้งราคาอาหาร
- วางระบบจัดการสต็อก
- วางแผนการขยายกิจการและพัฒนาสินค้าใหม่
- จัดการเรื่องการขนส่ง
- เลือกช่องทางขาย
- ทำการตลาดธุรกิจอาหาร
1. ศึกษากฎหมายอาหาร
การจะเริ่มขายอาหารออนไลน์ ต้องเริ่มจากการเข้าใจกฎหมายและมาตรฐานด้านความปลอดภัยอาหาร
ปกติแล้ว เวลาจะเริ่มธุรกิจ สิ่งแรกที่เรานึกถึงคือไอเดีย แต่สำหรับธุรกิจอาหาร สิ่งสำคัญกว่าคือการเข้าใจความซับซ้อนของกฎหมายอาหารก่อนลงมือจริง
เพราะเมื่อทำและขายอาหารออนไลน์ ความปลอดภัยคือเรื่องใหญ่ รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดเพื่อปกป้องผู้บริโภค แต่ผู้ประกอบการเองต้องมีหน้าที่ทำตามกฎอย่างเคร่งครัดและรักษาคุณภาพให้ได้มาตรฐาน
ถ้าคุณเตรียมตัวอย่างดี ได้ใบอนุญาตครบถ้วน และบันทึกข้อมูลทุกอย่างไว้อย่างละเอียด โอกาสที่จะมีปัญหากับกรมอนามัยถือว่าต่ำ แต่ถ้าเกิดขึ้นจริง ผลลัพธ์ก็อาจรุนแรง Glenford Jameson ทนายด้านกฎหมายอาหารบอกว่า “รัฐบาลสามารถสั่งจำคุก ยึดและทำลายสินค้า ปิดกิจการ หรือปรับเงินก้อนใหญ่ได้เลย”
“ผู้ตรวจสอบอาหารมักจะให้คำแนะนำที่มีประโยชน์มากเกี่ยวกับวิธีทำให้คุณผลิตสินค้าได้อย่างปลอดภัยและได้มาตรฐาน”
Glenford Jameson ทนายความด้านกฎหมายอาหาร
ในมุมกลับกัน ผู้ตรวจสอบด้านอาหารก็มักจะให้คำแนะนำฟรี ๆ และตรงไปตรงมาว่าจะทำอย่างไรให้อาหารของคุณปลอดภัยและมีคุณภาพ
ถ้าสินค้าของคุณมีความซับซ้อนหรือเข้าข่ายต้องขอใบอนุญาตเพิ่มเติม (เช่น เนื้อสัตว์ ปลา หรือสินค้าการเกษตรบางประเภท) การปรึกษาทนายที่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจอาหารอาจคุ้มค่ากับค่าใช้จ่าย เพราะช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเสียหายหนักในอนาคต
แต่ถ้าคุณเลือกที่จะเดินเกมกฎหมายด้วยตัวเองโดยไม่ใช้ทนาย ควรยึดแนวปฏิบัติดี ๆ เหล่านี้ไว้เสมอ
- จัดการและเก็บรักษาอาหารอย่างถูกวิธี ศึกษาขั้นตอนการเตรียมอาหารให้ปลอดภัย เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายกับผู้บริโภค
- ตรวจสอบซัพพลายเชน สอบถามแหล่งที่มาและขอการอ้างอิงจากผู้จัดหาวัตถุดิบ
- ทำงานร่วมกับห้องแล็บเพื่อตรวจสอบสินค้า ตรวจหาส่วนประกอบที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้
- เก็บบันทึกอย่างละเอียด ทั้งสิ่งที่เข้ามาและสิ่งที่ออกไปจากสถานที่ผลิต
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ตรวจสอบอาหาร พวกเขามาที่หน้างานเพื่อชี้จุดปัญหาและช่วยให้คุณสำเร็จ “ผู้ตรวจสอบอาหารมักจะให้คำแนะนำที่จริงจัง และที่สำคัญคือฟรี” Glenford กล่าว
- ทำประกันความรับผิดชอบ เผื่อเกิดกรณีมีลูกค้าเจ็บป่วยจากอาหารของคุณ
หมายเหตุ: กฎหมายอาหารและข้อกำหนดด้านใบอนุญาตแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศและภูมิภาค อุตสาหกรรมบางประเภท เช่น ผลิตภัณฑ์นมและแอลกอฮอล์ อาจมีกฎที่เข้มงวดมากขึ้น ควรปรึกษาทนายและหน่วยงานท้องถิ่นเสมอเพื่อให้มั่นใจว่าได้ข้อมูลที่ถูกต้องสำหรับธุรกิจของคุณ
2. หา Niche ของคุณ
Zesti สร้าง Niche ของตัวเองในฐานะธุรกิจอาหารออนไลน์ด้วยซอสปรุงรสสุดครีเอทีฟ เช่น ซอสรสพิซซ่า. Zesti
หลายครั้ง ไอเดียธุรกิจออนไลน์ที่ดีที่สุดก็มาจากความชอบหรือกิจกรรมที่ทำอยู่แล้ว เช่นเดียวกับการขายอาหาร ถ้าคุณทำแยมจากสตรอว์เบอร์รีที่ปลูกเองในสวนหลังบ้านและแจกให้เพื่อนหรือครอบครัว นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะคุณมีทั้งประสบการณ์และสูตรที่ได้ลองปรับแต่งมาแล้ว
Bob McClure และพี่ชาย Joe เติบโตมากับการทำแตงกวาดองร่วมกับคุณย่า Lala และสูตรของครอบครัวนี้เองที่กลายเป็นแรงบันดาลใจสู่ McClure's Pickles ถึงแม้คนหนึ่งจะเป็นนักแสดงและอีกคนเรียนจิตวิทยา ไม่ได้มีความรู้ด้านธุรกิจหรือการผลิตเลย แต่สูตรที่พิสูจน์แล้วในครอบครัวคือรากฐานสำคัญ
เทรนด์อาหาร
แบรนด์อย่าง Fly by Jing กำลังเก็บเกี่ยวผลลัพธ์จากเทรนด์เครื่องปรุงรสครีเอทีฟที่มาแรง
ถ้ายังไม่มีไอเดียสินค้า ลองมองหาเทรนด์อาหารล่าสุด จากการคาดการณ์ของ The New York Times ปี 2024 เทรนด์ที่น่าจับตาคือสแน็กฟิวชัน ซอสเผ็ดรสซับซ้อน และ “ซุปโบราณแต่ดังใหม่”
การติดตามว่าอะไรมาแรงสามารถทำได้จาก Google Trends นิตยสารอาหาร หรือโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok
อย่างไรก็ตาม การตามเทรนด์ก็หมายถึงการเจอคู่แข่งจำนวนมาก ลองถามตัวเองว่าสินค้าของคุณจะโดดเด่นในตลาดที่การแข่งขันสูงขนาดนี้ได้อย่างไร
ตอนที่ตระกูล McClure เริ่มขายแตงกวาดองพรีเมียม แทบไม่มีคู่แข่งเลย แต่สิบกว่าปีต่อมา การดองกลายเป็นที่นิยมในกระแส Slow Food Movement Bob มองว่าการมีคู่แข่งคือเรื่องดี “มันคือการแข่งขันที่ถูกทาง เพราะช่วยให้ผู้บริโภครู้จักสินค้าที่เน้นคุณภาพและความเชี่ยวชาญมากขึ้น” เขากล่าว “และมันช่วยยกระดับทั้งวงการของเรา”
ทางเลือกธุรกิจอาหารใหม่ ๆ
Junshine คือหนึ่งในหลายแบรนด์ที่คว้าโอกาสจากเทรนด์ Hard Kombucha และนำมาสร้างเป็นธุรกิจอาหารออนไลน์
อีกวิธีในการหาไอเดียที่ดีคือมองหาช่องว่างในตลาด ธุรกิจอาหารจำนวนมากที่ประสบความสำเร็จเริ่มต้นจากการแก้ปัญหาหรือตอบโจทย์ตลาด Niche
ธุรกิจอาหารของคุณอาจจัดอยู่ใน Niche เหล่านี้
- สินค้าแบบ Custom หรือสินค้าแปลกใหม่
- อาหารกูร์เมต์ งานคราฟต์ หรือผลิตแบบ Small Batch
- อาหารปราศจากสารก่อภูมิแพ้ กลูเตน หรือถั่ว
- อาหารออร์แกนิก ธรรมชาติ และ Fair Trade
- อาหารเจ มังสวิรัติ โคเชอร์ หรือฮาลาล
- อาหารตามเทรนด์สุขภาพ: Paleo, Keto หรือ Low Carb
- คอนเทนต์อาหาร วิดีโอ สูตร เมนู Meal Kit และหนังสือทำอาหาร
ธุรกิจ Grain Zero ของ Jodi Bager เกิดจากประสบการณ์การรับมือกับโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (ulcerative colitis) กลุ่มลูกค้าของเธอคือคนที่มีภาวะเดียวกันและโรคในระบบลำไส้อื่น ๆ เธอผลิตสแน็กสุขภาพที่ไม่มีส่วนผสมที่กระตุ้นอาการ “เรายังตอบโจทย์กลุ่มคนสาย Paleo ที่กำลังเติบโต” Jodi เล่า “และตอนนี้ก็ขยายไปสู่กลุ่มผู้บริโภคที่กว้างขึ้นกว่าเดิมมาก”
ไอเดียสำหรับมือใหม่
ถ้าคุณเพิ่งเข้ามาในวงการขายอาหารออนไลน์ ลองเริ่มจากธุรกิจเล็ก ๆ ที่ทำง่าย ใช้เงินลงทุนน้อย ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ซับซ้อน และเจอความท้าทายเรื่องการจัดส่งหรือข้อกฎหมายไม่มากนัก
ตัวอย่างไอเดียที่ใช้เงินลงทุนต่ำ ได้แก่
- ขนมหวาน
- สแน็กบรรจุห่อ
- อาหารกระป๋องหรือของดอง
- สมุนไพรอบแห้ง
- ชุดวัตถุดิบเบเกอรีพร้อมทำ
- ธัญพืชและเมล็ดพืชขายยกแพ็ก
- วัตถุดิบพื้นฐาน (เช่น แป้ง)
- การคัดสรรและขายต่อสินค้าจากผู้ผลิตรายอื่น
- กาแฟและชา
Charlie Cabdish วัยเพียง 13 ปี คือหนึ่งในตัวอย่างที่ดี เขาทำและขายพีแคนเคลือบน้ำตาลจากบ้านของครอบครัว โดยจัดสรรเวลาให้ลงตัวระหว่างการเรียนและการซ้อมบาสเกตบอล
การวิจัยตลาด
ถ้าคุณมีไอเดียในใจแล้ว ลองทดสอบความเป็นไปได้ก่อน ตลาดมีความต้องการสินค้านี้จริงหรือไม่? ถ้าตลาดอิ่มตัวแล้ว สินค้าของคุณจะสร้างความแตกต่างได้ยังไง? หรือมี Niche ที่ยังไม่มีใครตอบโจทย์?
การวิจัยตลาดควรครอบคลุมไปถึงกฎข้อบังคับในอุตสาหกรรมด้วย เช่น
- สินค้าของคุณสามารถขายและจัดส่งออนไลน์ได้ถูกกฎหมายในพื้นที่ที่คุณดำเนินการหรือไม่ (เช่น สินค้าผสมแอลกอฮอล์หรือกัญชา)
- สินค้าของคุณเปราะบางเกินไปสำหรับการจัดส่งหรือไม่? ต้องใช้บรรจุภัณฑ์พิเศษอะไรเพื่อป้องกันความเสียหาย (เช่น ขนมอบกรอบ ๆ หรือขวดแก้ว)
- อายุการเก็บรักษาของสินค้าจะทำให้การบริหารสต็อกยากเกินไปหรือเปล่า (เช่น ขนมปังเบเกอรี่หรือกัวคาโมเล)
- สินค้าของคุณต้องแช่เย็นหรือไม่? ถ้าใช่ จะจำกัดรัศมีการจัดส่งหรือรูปแบบขนส่งยังไง (เช่น เนื้อสัตว์หรือดิปสด)
3. เลือกรูปแบบธุรกิจ จะผลิตเองหรือหาของมาขาย
Jacobsons คือหนึ่งในตัวอย่างที่นำเสนอสินค้า grocery แบบพรีเมียมและชีสอาร์ติซานจากหลายแบรนด์ เพื่อมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี
การเริ่มธุรกิจอาหารมีหลายทางเลือก ตั้งแต่การขายวัตถุดิบให้ผู้ผลิต ไปจนถึงการเปิดร้านอาหาร แต่ถ้าคุณโฟกัสที่การขายอาหารออนไลน์ รูปแบบธุรกิจหลักมีอยู่ 2 แบบ
ผลิตสินค้าอาหารเพื่อขาย
โมเดลนี้คือการผลิตอาหารเอง ไม่ว่าจะทำจากครัวที่บ้านหรือครัวกลางที่ได้มาตรฐาน แล้วขายตรงให้ผู้บริโภค (Direct-to-Consumer) คุณอาจเลือกดูแลซัพพลายเชนทั้งหมดเอง มีส่วนร่วมกับการผลิตโดยตรง หรือทำงานร่วมกับผู้ผลิต (โรงงาน OEM/ODM) ที่ช่วยผลิตและแพ็กสินค้าตามสูตรของคุณ นอกจากนี้ยังสามารถขยายช่องทางการขาย เช่น การขายส่งให้ร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือร้านค้าปลีกอื่น ๆ ได้ด้วย
หมายเหตุด้านกฎหมาย: ในประเทศไทย การผลิตอาหารเพื่อจำหน่ายต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และ กรมอนามัย หากเป็นการผลิตในปริมาณเล็ก ๆ จากครัวที่บ้าน อาจเริ่มได้จากสินค้าที่ไม่ซับซ้อน เช่น เบเกอรีหรือขนมแห้ง แต่หากต้องการขยายตลาด จำเป็นต้องขอใบอนุญาตผลิตอาหาร (โรงงานหรือครัวกลาง) รวมถึงเลข อย. บนบรรจุภัณฑ์ เพื่อความถูกต้องตามกฎหมายและสร้างความน่าเชื่อถือให้สินค้า
คัดสรรและนำสินค้ามาขายต่อ
ขายอาหารออนไลน์โมเดลนี้คือการขายสินค้าของแบรนด์อื่น โดยคุณคัดสรรและรวมไว้ภายใต้ร้านค้าของคุณเอง จุดขายอาจอยู่ที่การรวบรวมสินค้าประเภทเดียวกันจากหลายแหล่งมาไว้ในที่เดียว (เช่น มัสตาร์ดจากทั่วโลก) คุณสามารถติดต่อแบรนด์อาหารที่มีอยู่แล้วเพื่อนำสินค้ามาขาย หรือใช้วิธีดรอปชิปเพื่อนำสินค้าจากอีกตลาดเข้ามาเจาะตลาดใหม่
หมายเหตุ: เนื้อหาส่วนใหญ่ของบทความนี้จะเน้นธุรกิจที่ผลิตอาหารเอง แต่ถ้าคุณสนใจการคัดสรรและขายสินค้าที่มีอยู่แล้ว สามารถเลื่อนไปดูขั้นตอนที่ 6 เรื่อง “การสร้างแบรนด์” ได้เลย
4. หาแหล่งวัตถุดิบ
“ตรวจสอบซัพพลายเชนให้ครบถ้วน” Glenford Jameson ทนายด้านกฎหมายอาหารกล่าว Burst
Glenford เน้นย้ำเสมอว่าการหาวัตถุดิบต้อง “ตรวจสอบซัพพลายเชนให้ละเอียด” เพื่อให้สิ่งที่คุณเคลมบนฉลากตรงกับสิ่งที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์จริง และมั่นใจว่าทำงานกับบริษัทที่เชื่อถือได้
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการทำสินค้าที่ติดฉลากออร์แกนิก ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าแหล่งวัตถุดิบมีใบรับรองมาตรฐานจริงก่อนจะใส่คำว่า “Organic” บนฉลากสินค้า
การขายอาหารออนไลน์ การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับซัพพลายเออร์ก็สำคัญ เพราะช่วยเพิ่มความไว้ใจและทำให้พวกเขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ “บางครั้งซัพพลายเออร์จะแนะนำสินค้าหรือวัตถุดิบใหม่ ๆ ที่เพิ่งออกสู่ตลาดให้ด้วย” Jodi กล่าว “มันคือการทำงานแบบพาร์ตเนอร์จริง ๆ”
สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มผลิตล็อตเล็ก ๆ อาจคุ้มค่ากว่าที่จะหาซื้อวัตถุดิบจาก แม็คโคร, โลตัส โก เฟรช หรือซูเปอร์มาร์เก็ตค้าส่ง ก่อน เมื่อธุรกิจโตขึ้น ค่อยหันไปหาซัพพลายเออร์เฉพาะทาง
วิธีสร้างคอนเนกชันกับซัพพลายเออร์
- ใช้การแนะนำปากต่อปาก เพราะวงการอาหารในไทยหลายครั้งเชื่อมโยงผ่านเครือข่ายส่วนตัว
- สร้างเครือข่ายกับผู้ผลิตวัตถุดิบท้องถิ่น เช่น เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ โกโก้ หรือสมุนไพรไทย
- สำหรับวัตถุดิบที่เป็น Commodity เช่น กาแฟ ถั่ว หรือโกโก้ อาจเลือกทำงานผ่าน Distributor หรือโบรกเกอร์ที่ทำงานตรงกับเกษตรกร
- รวมกลุ่มกับผู้ผลิตล็อตเล็กคนอื่น ๆ เพื่อสั่งซื้อวัตถุดิบจำนวนมากด้วยกัน จะได้ราคาส่งที่ถูกลง
5. เลือกรูปแบบการผลิตอาหาร
ครัวระดับมืออาชีพอาจยังไกลเกินเอื้อมในช่วงเริ่มต้น แต่หลายคูออป (Co-op) เสนอบริการให้เช่าพื้นที่ครัวร่วม ซึ่งช่วยให้คุณเริ่มได้ง่ายขึ้น Kitchen Collective
แม้ว่า McClure’s Pickles จะเริ่มขายอาหารออนไลน์จากครัวในบ้าน แต่ครอบครัวก็ค่อย ๆ ยกระดับการผลิตขึ้นเรื่อย ๆ “ตอนเริ่มแรก เราเช่าครัวที่มีเตาขนาดใหญ่ขึ้น” Bob เล่า “แล้วโทรชวนเพื่อน ๆ มาช่วยทำแตงกวาดองวันหยุด โดยเลี้ยงพิซซ่าและเบียร์เป็นการตอบแทน”
ต่อมา บริษัทเติบโตจนมีโรงงานกว่า 20,000 ตารางฟุต McClure’s จึงเป็นตัวอย่างชัดเจนว่าธุรกิจอาหารสามารถขยายการผลิตได้อย่างไร เริ่มจากครัวในบ้านคือวิธีที่เสี่ยงต่ำในการทดสอบโมเดลธุรกิจ
ขายอาหารออนไลน์จากบ้าน
อาหารบางประเภทสามารถผลิตและขายได้โดยตรงจากครัวที่บ้าน แต่ต้องตรวจสอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสินค้านั้น ๆ ในสหรัฐฯ FDA กำหนดว่าธุรกิจครัวเรือนต้องลงทะเบียนเป็นสถานประกอบการ อาจต้องปรับปรุงระบบในบ้าน เช่น การระบายอากาศ และขอใบอนุญาตที่ถูกต้องเพื่อขายอาหารได้
สำหรับประเทศไทย หากคุณต้องการผลิตอาหารจากบ้านเพื่อขาย จำเป็นต้องศึกษาข้อกำหนดของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และกฎหมายท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องใบอนุญาตผลิตอาหารและการแสดงเลข อย. บนบรรจุภัณฑ์
การเช่าครัวกลางหรือครัวเชิงพาณิชย์แบบแชร์
หลายสถานที่มีบริการให้เช่าครัวกลางแบบรายชั่วโมงหรือรายเดือนตามความต้องการ ซึ่งข้อดีคือ
- ลดต้นทุน: ไม่ต้องซื้ออุปกรณ์ทั้งหมดเอง และค่าเช่าแบ่งกับผู้ใช้รายอื่น
- ลดงานเอกสาร: ครัวเหล่านี้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายและมีประกันเรียบร้อย
- ได้เรียนรู้ร่วมกัน: การใช้พื้นที่ร่วมกับผู้ประกอบการรายอื่นทำให้ได้แชร์ประสบการณ์และสร้างคอนเนกชัน
สร้างครัวเชิงพาณิชย์ของตัวเอง
โมเดลนี้คือการลงทุนสร้างครัวเองตั้งแต่ต้น เพื่อควบคุมทุกอย่างได้เต็มที่ แต่ก็เป็นตัวเลือกที่แพงที่สุดและต้องตรวจสอบอย่างรอบคอบ เพราะคุณต้องรับผิดชอบเรื่องมาตรฐานและใบอนุญาตทั้งหมด
สำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ นี่อาจไม่ใช่จุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด แต่เป็นเป้าหมายในอนาคตมากกว่า Jodi เล่าว่า “เราเริ่มจากครัวที่บ้านเล็ก ๆ ก่อน แล้วค่อย ๆ โตขึ้น เราไม่ย้ายออกจนกว่าธุรกิจจะขยายจนเกินขีดจำกัด และมั่นใจว่ามีขนาดใหญ่พอจะรองรับการย้ายได้”
“มันน่าสนใจมากที่ได้รู้ว่าการบริหารสถานที่ผลิตที่อยู่ภายใต้การตรวจสอบของ USDA ต้องใช้ความรอบคอบและความเข้มงวดมากแค่ไหน”
Daniel Patricio ผู้ก่อตั้ง Bull & Cleaver
การทำงานร่วมกับผู้ผลิตที่มีอยู่แล้ว
ตัวเลือกนี้เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่อยากโฟกัสที่การทำธุรกิจมากกว่าการลงมือผลิตเอง และยังปลอดภัยสำหรับมือใหม่ เพราะผู้ผลิตเหล่านี้มีความรู้ด้านความปลอดภัยอาหารและกฎระเบียบอยู่แล้ว ไอเดีย สูตร และแบรนด์เป็นของคุณ แต่ขั้นตอนการผลิตให้มืออาชีพจัดการแทน วิธีนี้ช่วยให้คุณมีเวลามากขึ้นไปลงทุนกับส่วนอื่นของธุรกิจ
“เราจับมือกับผู้ผลิตที่มีโรงงานซึ่งผ่านการตรวจสอบจาก USDA เพื่อให้สามารถส่งสินค้าไปทั่วสหรัฐฯ ได้เร็วขึ้นโดยไม่ติดปัญหาเรื่องความปลอดภัยอาหาร” Daniel Patricio ผู้ก่อตั้ง Bull & Cleaver เล่า “มันน่าสนใจมากที่ได้เห็นว่าการดูแลโรงงานที่อยู่ภายใต้การตรวจสอบของ USDA ต้องใช้ความใส่ใจและเข้มงวดขนาดไหน”
6.สร้างแบรนด์ของคุณ
การสร้างแบรนด์เริ่มต้นจากการมี “เรื่องราว” และ “มุมมองที่ชัดเจน” ซึ่งสองสิ่งนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกองค์ประกอบ ตั้งแต่เว็บไซต์ ไปจนถึงดีไซน์บรรจุภัณฑ์ Oat Haus
การขายอาหารออนไลน์มีความท้าทายพิเศษ เพราะประสาทสัมผัสที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจซื้อ เรื่องของรสชาติ ลูกค้าไม่สามารถสัมผัสได้ตรง ๆ ดังนั้น “แบรนด์” จึงมีความสำคัญอย่างมาก ตั้งแต่ดีไซน์แพ็กเกจ ภาพถ่าย เว็บไซต์ หน้าโปรดักต์ ไปจนถึงข้อความที่ใช้สื่อสาร ทุกอย่างต้องช่วยเล่าเรื่องราวและทำให้ลูกค้านึกภาพได้ว่าอาหารของคุณจะมีรสชาติแบบไหน
เพราะบรรจุภัณฑ์มีความสำคัญมากในธุรกิจนี้ จึงควรพิจารณาจ้างนักออกแบบมืออาชีพมาช่วยพัฒนาแพ็กเกจให้ตรงกับภาพลักษณ์ที่คุณต้องการ
การสร้างแบรนด์เริ่มจากการตอบคำถามง่าย ๆ ว่า “คุณอยากให้ลูกค้ามองเห็นธุรกิจของคุณแบบไหน” Bob เล่าว่า “เราตั้งชื่อและสร้างเอกลักษณ์ ตั้งแต่ฉลาก ดีไซน์ ฟีลลิ่ง ไปจนถึงข้อความ ให้สื่อถึงความเป็นแฮนด์เมดและครอบครัว แต่ก็ยังคงความเป็นเมือง (Urban) อยู่ในนั้น”
เรื่องราวของผู้ก่อตั้งธุรกิจขายอาหารออนไลน์ที่ทรงพลังสามารถกลายเป็นเครื่องมือการขายที่ดึงดูดใจลูกค้าได้ เพราะพวกเขามักมองเห็นประสบการณ์ของตัวเองสะท้อนอยู่ในแบรนด์นั้น ๆ
แหล่งข้อมูลน่าสนใจสำหรับการสร้างแบรนด์
- วิธีง่าย ๆ และต้นทุนต่ำในการสร้างเอกลักษณ์แบรนด์ให้คนจำได้
- ออกแบบโลโก้ให้น่าจดจำใน 8 ขั้นตอน
- Food Photography 101 วิธีถ่ายภาพอาหารให้ออกมาเพอร์เฟค
- Brand Voice คืออะไร และจะสร้างเสียงแบรนด์ของคุณอย่างไร
- ขายด้วยการเล่าเรื่อง วิธีสร้าง Brand Story ที่น่าสนใจ
เครื่องมือแนะนำ (ถ้ายังคิดชื่อแบรนด์ไม่ออก ลองใช้เครื่องมือฟรีด้านล่างนี้ได้เลย)
กฎหมายเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์และฉลาก
นอกจากความสวยงามของบรรจุภัณฑ์แล้ว แต่ละประเทศยังมีกฎหมายที่กำหนดรูปแบบการติดฉลากต่างกันไป เช่น วันหมดอายุ ข้อมูลโภชนาการ คำเตือนสารก่อภูมิแพ้ และประเทศต้นกำเนิดสินค้า หากคุณวางแผนจะส่งสินค้าไปขายต่างประเทศ โดยเฉพาะผ่านผู้ค้าปลีก ควรตรวจสอบข้อกำหนดเรื่องฉลากของประเทศปลายทางให้ชัดเจนก่อน
- สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กฎหมายและข้อกำหนดการติดฉลากอาหาร
- กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ การตรวจวิเคราะห์สารอาหาร สารปนเปื้อน และมาตรฐานความปลอดภัย
- มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ข้อกำหนดบรรจุภัณฑ์และการรับรองสินค้า
- กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ข้อมูลกฎระเบียบการส่งออกอาหารและข้อกำหนดฉลากสำหรับต่างประเทศ
- สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย การขอรับรองฮาลาลสำหรับผลิตภัณฑ์อาหาร
7. คำนวณทุน
แล้วจริง ๆ ต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการเริ่มธุรกิจอาหาร? ถ้าเป็นร้านอาหารหรือร้านขายอาหารจริง ๆ ค่าใช้จ่ายตั้งต้นอาจสูงกว่า 6 ล้านบาท แต่ก็มีหลายวิธีที่เริ่มต้นได้ด้วยเงินลงทุนน้อยกว่านั้นมาก
ผู้ผลิตล็อตเล็กที่เริ่มจากธุรกิจในบ้านมักมีค่าใช้จ่ายไม่สูง และสามารถค่อย ๆ ขยายสู่ครัวเชิงพาณิชย์เมื่อธุรกิจเติบโต
หากไม่ต้องเสียค่าเช่าร้านแพง ๆ หรือค่าจ้างพนักงาน คุณสามารถเริ่มขายอาหารออนไลน์ได้จริง ๆ ด้วยเงินเพียงไม่กี่พันบาท เพื่อครอบคลุมต้นทุนวัตถุดิบ ค่าเว็บไซต์ ค่าโปรโมต และบรรจุภัณฑ์
เคล็ดลับ: ถ้าพื้นที่อยู่อาศัยของคุณใช้เป็นที่ทำธุรกิจด้วย อาจสามารถนำค่าใช้จ่ายบางส่วน เช่น ค่าเช่าบ้านหรือค่าสาธารณูปโภค ไปหักลดหย่อนภาษีได้
แต่ถ้าไม่สามารถดำเนินธุรกิจจากบ้านได้ ให้ลองคำนวณต้นทุนค่าเช่าครัวเชิงพาณิชย์ต่อเดือนเข้าไปด้วย ครัวผลิตอาหารแบบเช่ารายเดือนอาจแพง แต่ปัจจุบันมีครัวกลาง (Shared Kitchen) และโครงการบ่มเพาะธุรกิจ (Incubator) ที่เปิดพื้นที่ครัวให้ผู้ประกอบการเช่าในราคาที่ถูกกว่าการลงทุนเปิดครัวเองหลายเท่า
8. ตั้งราคาอาหาร
ผู้ประกอบการเกือบทุกคน ไม่ว่าจะขายสินค้าอะไร ก็มักเห็นตรงกันว่า “การตั้งราคาเป็นเรื่องยาก” เพราะไม่มีสูตรตายตัวที่ใช้ได้กับทุกธุรกิจ สิ่งสำคัญคือต้องรู้ต้นทุนของคุณให้ชัด ทั้งต้นทุนคงที่และต้นทุนแปรผัน แล้วค่อย ๆ ปรับราคาไปจนกว่าจะเจอจุดที่เหมาะสมที่สุด
Daniel แนะนำว่า ช่วงแรกอาจไม่ต้องโฟกัสที่กำไร แต่ให้เน้นทำยังไงก็ได้ให้สินค้าของคุณไปถึงมือลูกค้าให้มากที่สุด “เมื่อเวลาผ่านไป การประหยัดต้นทุนและกำไรจะตามมาเอง” เขากล่าว
ทำให้สินค้าของคุณไปถึงมือลูกค้าให้ได้มากที่สุด แม้ว่าต้องเลื่อนการทำกำไรออกไปก็ตาม (Bull & Cleaver)
แต่ Bob มีมุมมองต่างออกไป เขาเชื่อว่าในการขายอาหารออนไลน์ ถ้าคุณมั่นใจในคุณค่าของสินค้า ก็ควรตั้งราคาให้สะท้อนค่านั้น “เรารู้ว่า McClure’s ไม่ใช่สินค้าที่ถูกที่สุดในตลาด” เขากล่าว “ดังนั้นเราต้องแข่งขันด้วยสิ่งที่โดดเด่นจริง ๆ ไม่อย่างนั้นสินค้าของคุณก็จะกลายเป็นเพียงสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วไป และสุดท้ายก็ต้องแข่งกันลดราคา ซึ่งไม่มีใครชนะจริง ๆ”
กำไรของธุรกิจอาหารยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทสินค้าที่คุณขาย ช่องทางการขาย และทำเลที่ตั้ง
อ่านเพิ่มเติม
9. วางระบบจัดการสต๊อก
Unsplash
แม้ McClure’s Pickles มีอายุการเก็บที่ยาวกว่า แต่ Bob ก็ยังอยากให้ลูกค้าได้รับสินค้าที่สดใหม่ที่สุด ด้วยเหตุนี้ กลยุทธ์สต็อกของเขาจึงเลือกผลิตน้อยไว้ก่อน มากกว่าผลิตเยอะแล้วค้างสต็อก
“มันเหมือนการเล่นกลที่ต้องคอยบาลานซ์ และเราก็กำลังเก่งขึ้นเรื่อย ๆ ในการคาดการณ์ความต้องการของตลาด” Bob เล่า “ในการขายอาหารออนไลน์ เราต้องผลิตในปริมาณที่คุ้มค่ากับการรันไลน์ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมั่นใจว่ามีช่องทางขายและความต้องการรองรับจริง ๆ”
เคล็ดลับ
- ลองใช้เครื่องมือบริหารสต็อกจาก Shopify App Store ที่เชื่อมต่อกับร้านค้าออนไลน์ได้โดยตรง
- ใช้ระบบ Batch Number หรือบาร์โค้ด เพื่อจัดการสต็อกให้เป็นระบบ
- อบรมทีมงานให้เข้าใจและทำตามแนวปฏิบัติการจัดการสต็อกอย่างเคร่งครัด
10. วางแผนการขยายกิจการและพัฒนาสินค้าใหม่
McClure's Pickles
McClure’s ประสบความสำเร็จจากการโฟกัสที่สินค้าหลักตามชื่อแบรนด์ นั่นคือการพัฒนาสูตรแตงกวาดองของคุณย่าให้สมบูรณ์แบบที่สุด
จากนั้นจึงต่อยอดไปสู่ไอเดียที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น การนำรสชาติแตงกวาดองยอดนิยมไปใช้กับสินค้าอื่นอย่างมันฝรั่งแผ่นทอด และตามคำเรียกร้องของลูกค้า พวกเขาจึงเปิดตัว Bloody Mary Mix ตามมา
ในช่วงแรก การขยายไลน์สินค้าของ McClure’s มาจากฟีดแบ็กของลูกค้าโดยตรง แต่ปัจจุบันกระบวนการพัฒนาสินค้าก้าวหน้าขึ้น โดยครอบครัวหันมาพึ่งพาข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ
“คุณต้องมั่นใจก่อนว่าจะมีดีมานด์มากพอที่จะรองรับไอเดีย ก่อนจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสินค้าจริง”
Bob McClure ผู้ก่อตั้ง McClure’s Pickles
แม้ว่าครอบครัวยังคงชอบการพูดคุยกับลูกค้าและรับฟังไอเดียใหม่ ๆ อยู่เสมอ แต่ Bob ก็เตือนว่าไม่ใช่ทุกความคิดจะมีค่าเหมือนทองคำ “คุณต้องแน่ใจก่อนว่าจะมีความต้องการที่มากพอจริง ๆ ถึงจะคุ้มที่จะเปิดตัวเป็นสินค้าใหม่”
ขยายสู่สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกัน
ตัวอย่างเช่น Dominion City Brewing Co. ที่ขายเบียร์ผ่านร้านออนไลน์เฉพาะในพื้นที่ท้องถิ่น เนื่องจากกฎหมายแอลกอฮอล์ทำให้ไม่สามารถส่งออกนอกจังหวัด Ontario ได้ แต่แฟน ๆ ของแบรนด์ที่อยู่ต่างพื้นที่ยังคงสามารถซื้อสินค้าภายใต้แบรนด์ เช่น แก้วน้ำและเสื้อผ้า ผ่านช่องทางออนไลน์แทน
สินค้าที่เป็น Merchandise เช่น เสื้อผ้าและแอคเซสซอรีแบรนด์ ถือเป็นไอเดียที่ดีสำหรับธุรกิจอาหารที่มีข้อจำกัดด้านการขายสินค้า / Dominion City
สำหรับแบรนด์อาหารของคุณ ลองพิจารณาสินค้าเสริมที่ช่วยขยายตลาดไปไกลกว่าพื้นที่ท้องถิ่น เพิ่มมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ย และสร้างการจดจำแบรนด์ให้แข็งแรงขึ้น
ตัวอย่างไอเดีย
- สินค้าแบรนด์ (Merch) เช่น ถุงผ้า เสื้อยืด แก้วมัค
- บัตรของขวัญ
- สินค้าอาหารเสริมที่เข้ากัน เช่น แครกเกอร์จากแบรนด์อื่นที่ขายคู่กับชีสของคุณ
- อุปกรณ์ครัวหรือของใช้บนโต๊ะอาหาร เช่น ผ้ากันเปื้อน เขียง หรือผ้าเช็ดโต๊ะ
- หนังสือสูตรอาหาร อีบุ๊ก หรือคอนเทนต์สูตรอาหารแบบสมัครสมาชิก
ตัวอย่างเช่น Wil Yeung ที่ประสบความสำเร็จบน YouTube จากช่องอาหารวีแกนจนมีผู้ติดตามหลักหมื่น จากนั้นเขาต่อยอดมาสร้างรายได้ด้วยการขายคลาสทำอาหาร อีบุ๊กสูตรอาหาร และหนังสือจริงผ่านร้านค้าออนไลน์ของตัวเอง
11. จัดการเรื่องการขนส่ง
Unsplash/Sticker Mule
เราลงทุนเวลามากมายในการสร้างคู่มือและทรัพยากร เพื่อช่วยผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซจัดการขั้นตอนการขนส่งได้อย่างราบรื่น เพราะ “การจัดส่ง” มักเป็นหนึ่งในจุดเจ็บปวดใหญ่ที่สุดของเจ้าของธุรกิจ
และแน่นอนว่า การจัดส่งอาหารก็มีความท้าทายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องส่งออกไปต่างประเทศ “เมื่อคุณขายอาหารออนไลน์แล้วส่งออกสินค้าอาหาร จะมีสินค้าหลายประเภทที่อยู่ภายใต้กฎหมายควบคุมสินค้าเกษตร” Glenford อธิบาย “ซึ่งจะมีกฎเฉพาะของมันเอง” ดังนั้นคุณควรตรวจสอบให้ชัดว่าสินค้าของคุณเข้าข่ายอยู่ภายใต้กฎหมายพิเศษหรือไม่ ทั้งในประเทศต้นทางและประเทศปลายทาง
นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงข้อจำกัดของสินค้าปลายทางด้วย แม้ว่าตามหลักแล้ว เมื่อสินค้าถูกส่งออกไป ความรับผิดชอบจะอยู่ที่ผู้ซื้อ แต่ถ้าเกิดประสบการณ์บริการที่ไม่ดี ก็อาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ธุรกิจได้ คุณจึงควรศึกษาและทำความเข้าใจกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยลดความผิดหวังของลูกค้าในภายหลัง
การแพ็กและจัดส่งสินค้าที่แตกง่ายหรือเสียง่าย
อาหารหลายประเภทบอบบาง หรือบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ก็แตกหักง่าย จึงอาจต้องใช้วัสดุห่อหุ้มพิเศษเพื่อป้องกันความเสียหาย ควรนำค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มเหล่านี้ ทั้งค่าวัสดุ ค่าน้ำหนักพัสดุ และค่าแรงในการแพ็ก มาคิดรวมในค่าจัดส่งและค่าบริการของคุณด้วย
สำหรับสินค้าที่ต้องแช่เย็น อาจไม่เหมาะกับการส่งข้ามประเทศ แต่ก็มีตัวอย่างที่ทำได้สำเร็จ เช่น Vegan Supply ในแวนคูเวอร์ ที่สามารถส่งสินค้าที่ต้องควบคุมความเย็นไปทั่วแคนาดาได้ โดยใช้เจลเย็นและบริการจัดส่งด่วน คุณเองก็สามารถเลือกใช้ผู้ให้บริการขนส่งที่มีรถควบคุมอุณหภูมิ หรือจำกัดการขายเฉพาะพื้นที่จัดส่งใกล้ ๆ ได้เช่นกัน
บริการรับสินค้าหน้าร้านและจัดส่งในพื้นที่
ถ้าคุณขายสินค้าที่ไม่สามารถส่งทางไปรษณีย์ได้ เช่น คัพเค้กที่มีครีมฟู ๆ ด้านบน ลองใช้วิธีขายออนไลน์ควบคู่กับการ รับสินค้าหน้าร้าน (Pickup) หรือ จัดส่งเฉพาะในพื้นที่ (Local Delivery) สำหรับลูกค้าที่สั่งล่วงหน้าแทน
ในช่วงเริ่มต้นการแพร่ระบาด หลายร้านค้าปลีกหันมาเปิดขายอาหารออนไลน์ พร้อมตั้งจุดรับแบบไร้การสัมผัส (Contactless Curbside Pickup) แทนการซื้อหน้าร้านโดยตรง ซึ่งกลายเป็นอีกหนึ่งโมเดลที่ช่วยธุรกิจเดินต่อได้
12. เลือกช่องทางการขาย
วิธีเริ่มต้นธุรกิจอาหารที่ดีที่สุดคือการขายออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของคุณเอง วิธีนี้ทำให้คุณควบคุมแบรนด์ได้เต็มที่ และเป็นเจ้าของฐานข้อมูลลูกค้าโดยตรง แต่การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอาจท้าทายกว่าการขายผ่านมาร์เก็ตเพลส ดังนั้นเมื่อธุรกิจโตขึ้น คุณอาจขยายไปสู่ช่องทางการขายอื่น ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการตลาดได้
การสร้างเว็บไซต์
เช่นเดียวกับการสร้างแบรนด์และออกแบบบรรจุภัณฑ์ ภาพลักษณ์และบรรยากาศของเว็บไซต์ มีบทบาทสำคัญมากในการขายอาหารออนไลน์ในเชิงโน้มน้าวให้ลูกค้าตัดสินใจซื้ออาหารโดยที่ยังไม่ได้ลองชิม สำหรับหลาย ๆ คน เว็บไซต์อาจเป็นความประทับใจแรกที่พวกเขามีต่อแบรนด์ของคุณด้วย
คอนเทนต์บนเว็บไซต์
- ใช้ข้อความบนหน้าโปรดักต์เพื่อบรรยายรสชาติและเนื้อสัมผัสของสินค้าให้ละเอียด
- ใส่ข้อมูลส่วนผสมและสารก่อภูมิแพ้อย่างครบถ้วน
- ใช้ภาพถ่ายสินค้าที่คมชัดและดึงดูด (เดี๋ยวเราจะพูดถึงรายละเอียดการถ่ายภาพต่อไป)
- เพิ่มรีวิวจากลูกค้า คอนเทนต์จากผู้ใช้งาน (UGC) หรือสูตรอาหารที่ใช้สินค้าของคุณ
เพื่อให้หน้าโปรดักต์ไม่ดูรกจนเกินไป ควรลงทุนทำหน้าคำถามที่พบบ่อย แยกออกมา ตอบคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับส่วนผสม ข้อมูลโภชนาการ และวิธีการผลิต
แม้ว่าเว็บไซต์ของคุณอาจไม่ได้เป็นช่องทางขายหลัก แต่ก็สำคัญมากที่จะใช้เป็นเครื่องมือเชื่อมต่อกับลูกค้าและเล่าเรื่องราวของแบรนด์ Bob เล่าว่า “เรามีสินค้าวางขายกว่า 5,000 ร้านทั่วโลก แต่ก็ยังมีกลุ่มลูกค้าหลักที่เข้ามาที่เว็บไซต์ของเรา ซื้อสินค้าทุกปี และติดตามดูว่าเรากำลังทำอะไร รวมถึงเชื่อมโยงกับแบรนด์และเรื่องราวของเราอยู่เสมอ”
หน้าสินค้าของ Surreal อัดแน่นด้วยข้อมูลครบถ้วน ทั้งโภชนาการ การเปรียบเทียบกับแบรนด์อื่น รีวิวจากลูกค้า และ FAQ ที่ซ่อนอยู่ใต้แถบนำทาง ทำให้หน้าเว็บดูเป็นระเบียบเรียบร้อย
เปิดร้านอาหารอยู่แล้ว?
เปลี่ยนร้านอาหารของคุณให้สั่งออนไลน์ได้สะดวก ด้วยระบบของ Shopify ขยายช่องทางขายด้วยออเดอร์แบบสั่งกลับบ้าน และมีเวลาโฟกัสกับสิ่งที่คุณทำได้ดีที่สุด นั่นคือการทำอาหารให้อร่อย
การสร้างและออกแบบเว็บไซต์
Acid League เลือกใช้ธีมที่สะอาด โปร่ง และเรียบง่าย เพื่อให้สอดคล้องกับการออกแบบแบรนด์ และทำให้สินค้าดูโดดเด่นขึ้นมา
การสร้างเว็บไซต์ใหม่ตั้งแต่ต้นอาจฟังดูน่ากังวล โดยเฉพาะถ้าคุณถนัดทำอาหารมากกว่าการเขียนโค้ด แต่ข่าวดีคือคุณไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานด้านเทคนิคก็ทำได้! เพราะแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopify ช่วยให้คุณสร้างเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว
เพียงเลือกเทมเพลตมาตรฐานจากร้านขายธีม Shopify แล้วปรับแต่งด้วยสีแบรนด์ โลโก้ และข้อความของคุณเอง ธีมยอดนิยมที่หลายคนเลือกใช้ เช่น
การถ่ายภาพอาหาร
ภาพถ่ายอาหารที่ดึงดูดและจัดสไตล์อย่างดี สามารถเล่าเรื่องราวและสื่อสารกับลูกค้าได้มากมาย แม้พวกเขาจะยังไม่ได้ลิ้มรสสินค้าด้วยตัวเองก็ตาม (Noodie)
คุณสามารถเลือกถ่ายภาพเอง (DIY) หรือจ้างช่างภาพมืออาชีพที่เชี่ยวชาญด้านการจัดแสงและจัดสไตล์อาหารก็ได้ การถ่ายภาพอาหารถือว่าท้าทายพอสมควร เพราะต้องเก็บสีสันให้ดูเป็นธรรมชาติ และหลีกเลี่ยงแสงสะท้อนจากพื้นผิวเงา ๆ เช่น ขวดแก้วหรือซอสที่มีความมันวาว
สำหรับหน้าโปรดักต์เว็บขายอาหารออนไลน์ ควรถ่ายภาพสินค้าอาหารกับพื้นหลังที่สะอาดเรียบง่าย โดยควรมีภาพบรรจุภัณฑ์จากหลายมุม และภาพโคลสอัปเพื่อให้เห็นรายละเอียดของเนื้อสัมผัสและสีสันของสินค้าอย่างชัดเจน

ภาพถ่ายแนวไลฟ์สไตล์สามารถใช้ได้ทั้งในหน้าโฮมเพจ แคมเปญการตลาด และคอนเทนต์สูตรอาหาร การถ่ายภาพสินค้าของคุณที่ถูกนำไปใช้จริงในสูตร หรือจับคู่กับอาหารอื่น ๆ จะช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพได้ชัดขึ้นว่าสินค้าของคุณสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันหรือในงานเลี้ยงของพวกเขาได้อย่างไร
ค้าปลีกและขายส่ง
ร้านค้าปลีกไม่จำเป็นต้องเป็นเพียงช่องทางกระจายสินค้าเท่านั้น แต่ยังสามารถเสริมธุรกิจออนไลน์ของคุณได้ด้วย Unsplash
McClure’s เติบโตขึ้นจากการสร้างพาร์ตเนอร์กับร้านค้าปลีก ความสำเร็จเกิดจากการมองว่าร้านเหล่านั้นเป็น “พาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ” ที่มีส่วนร่วมกับพันธกิจของแบรนด์ Bob เล่าว่า “บางร้านค้าปลีกกลายเป็นเหมือนครอบครัว เราทำงานร่วมกัน เช่น การจับคู่เมนู หรือจัดกิจกรรมพิเศษที่เน้นสินค้าของเรากับสินค้าของพวกเขา”
แหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับการหาพาร์ตเนอร์ค้าปลีก
- กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP)
-
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD)
- สมาคมผู้ประกอบการอาหารไทย (TFPA)
- งานแสดงสินค้าอาหาร THAIFEX – Anuga Asia
อ่านเพิ่มเติม
ช่องทางการขายอื่น ๆ
หลายแบรนด์ในไทยเลือกขยายช่องทางการขายเพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มกว้างขึ้น แม้คุณจะไม่ได้วางแผนเปิดหน้าร้านจริง แต่ก็ยังมีโอกาสในช่องทางออฟไลน์ เช่น ฝากขายผ่านคาเฟ่ ร้านขายของฝาก หรือซูเปอร์มาร์เก็ตท้องถิ่น
สำหรับช่องทางออนไลน์ นอกจากการขายผ่านเว็บไซต์ของคุณเองแล้ว มาร์เก็ตเพลสในไทยก็เป็นอีกตัวเลือกสำคัญ เช่น Shopee, Lazada, JD Central หรือแอปเดลิเวอรี่อาหารอย่าง GrabFood, LINE MAN, Robinhood, foodpanda ซึ่งช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น คุณยังสามารถเชื่อมต่อร้าน Shopify ของคุณเข้ากับแพลตฟอร์มเหล่านี้ เพื่อจัดการสต็อกและออเดอร์แบบรวมศูนย์ ลดความซับซ้อนและเพิ่มความคล่องตัวให้ธุรกิจ
13. ทำการตลาดให้ธุรกิจอาหาร
การตลาดคือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดของการทำธุรกิจ และมักเป็นบทเรียนใหญ่สำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ โดยเฉพาะการขายอาหารออนไลน์ การเล่าเรื่องราว (Storytelling) ให้เชื่อมโยงกับลูกค้าจึงเป็นหัวใจหลัก เพราะเมื่อพวกเขาไม่สามารถลิ้มรสอาหารของคุณได้จริง ๆ คุณจำเป็นต้องดึงดูดผ่านประสาทสัมผัสอื่นแทน
การเริ่มจากร้านค้าออนไลน์ของคุณเองถือเป็นก้าวแรกที่ดี การลงทุนในการทำ SEO (Search Engine Optimization) จะช่วยให้ร้านของคุณติดอันดับในคำค้นหาที่กลุ่มเป้าหมายมักใช้จริง ๆ
คอนเทนต์และโซเชียลมีเดียมาร์เก็ตติ้ง
McClure’s ให้ความสำคัญกับการสร้างคอมมูนิตี้บนเว็บไซต์ โดยเพิ่มคอนเทนต์พิเศษ สูตรอาหาร (ทั้งของแบรนด์เองและที่ลูกค้าสร้างขึ้น) รวมถึงปุ่มเชื่อมต่อไปยังโซเชียลมีเดียอย่างชัดเจน
โซเชียลมีเดียถือเป็นส่วนสำคัญของแบรนด์ “เพราะนั่นคือที่ที่ลูกค้าหลักของเราอยู่” Bob เล่า “เราต้องการมีส่วนร่วมกับคอมมูนิตี้ เพราะพวกเขาคือผู้ทรงอิทธิพล การบอกต่อกันปากต่อปากสามารถพาแบรนด์ของคุณไปได้ไกลมาก อย่างที่เราได้เห็นมาแล้ว”
McClure's Pickles
การตลาดออฟไลน์
อย่าลืมพาแบรนด์อาหารของคุณออกไปเจอกับผู้คนจริง ๆ และให้ลูกค้าได้ลองชิมด้วยตัวเอง
- สร้างการรับรู้ในท้องถิ่นด้วยการออกร้านตาม ตลาดนัดสินค้าเกษตรอินทรีย์ หรือตลาดชุมชน
- จัดป๊อบอัพสโตร์ ในทำเลที่มีคนพลุกพล่าน เช่น ห้างสรรพสินค้า หรือคอมมูนิตี้มอลล์
- จับมือกับร้านอาหาร คาเฟ่ หรือแบรนด์ที่เสริมกันได้ จัดงาน Tasting Event
- จัดดินเนอร์ส่วนตัวให้กับอินฟลูเอนเซอร์หรือสื่อ
- เชิญลูกค้าเข้ามาดูเบื้องหลังการทำงาน เช่น ทัวร์โรงงาน หรือเวิร์กช็อปเล็ก ๆ
- เปิดตัวแบรนด์ในงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม เช่น THAIFEX – Anuga Asia
ไอเดียการตลาดอื่น ๆ สำหรับแบรนด์อาหาร
ป๊อปอัปบนโฮมเพจ ถือเป็นการกระตุ้นเล็ก ๆ ให้ผู้เข้าชมกดเชื่อมต่อกับแบรนด์ (Noodie)
การสร้างธุรกิจอาหารออนไลน์ให้สำเร็จ ต้องอาศัยความสม่ำเสมอในการดึงลูกค้าเข้าสู่ร้านอีคอมเมิร์ซของคุณ และเมื่ออัลกอริทึมบนโซเชียลมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ รวมถึงมีแพลตฟอร์มใหม่ ๆ เกิดขึ้น การสร้างลิสต์ลูกค้าของตัวเอง จึงยิ่งสำคัญ
กระตุ้นให้คนสมัครรับอีเมลข่าวหรือสร้างบัญชีลูกค้า โดยเสนอส่วนลดหรือสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก แลกกับการให้ที่อยู่อีเมล
กลยุทธ์การตลาดอื่น ๆ ที่ช่วยดึงดูดลูกค้าในการขายอาหารออนไลน์
- ส่งสินค้าของคุณให้อินฟลูเอนเซอร์สายอาหารรีวิว
- จับมือกับแบรนด์ที่เข้ากันได้เพื่อทำโปรโมชัน หรือพัฒนาสินค้าร่วมกันแบบ Limited Edition
- กระตุ้นให้ลูกค้าเขียนรีวิวและสร้างคอนเทนต์จากการใช้งานจริง
- จัดกิจกรรมชิงรางวัลหรือแจกของบนโซเชียลมีเดีย
- สปอนเซอร์อีเวนต์ด้วยการนำสินค้าของคุณไปเป็นส่วนหนึ่งของอาหารและเครื่องดื่มในงาน
- ทำคอนเทนต์สูตรอาหารแบบเฉพาะสมาชิก เพื่อกระตุ้นให้คนสมัครติดตาม
การจะเริ่มขายอาหารออนไลน์ ต้องเริ่มจากการเข้าใจกฎหมายและมาตรฐานด้านความปลอดภัย
เลิกเสียเวลากับไอเดียครึ่งๆ กลางๆ เริ่มธุรกิจอาหารออนไลน์ที่ทำเงินได้จริงเลยตอนนี้
ในวันที่ธุรกิจอาหารแบบขายตรงให้กับลูกค้า (DTC) กำลังได้รับความนิยม การขายอาหารออนไลน์ก็ง่ายกว่าที่เคย
กว่า 10 ปีหลังจากการก่อตั้ง McClure’s วันนี้บริษัทมีพนักงานหลายสิบคน คอยผลิตและจัดส่งสินค้าไปยังผู้บริโภคและพาร์ตเนอร์ค้าปลีกนับพันทั่วโลก แม้ Bob จะบอกไม่ได้อย่างมั่นใจว่าตัวเองเจอคำตอบทุกอย่างแล้ว แต่เส้นทางนี้ก็ถือว่าให้รางวัลกับเขาอย่างคุ้มค่า
“บางความท้าทายอาจใหญ่พอที่จะทำให้คุณล้มได้” Bob เล่า “แต่วิธีที่คุณเปลี่ยนมันให้กลายเป็นบทเรียนสำหรับอนาคตต่างหาก ที่จะทำให้คุณสร้างเรื่องราวความสำเร็จที่ยั่งยืนขึ้นมาได้จริง ๆ เพราะถ้าเราไม่เรียนรู้จากสิ่งที่ทำในฐานะผู้ประกอบการ เราก็จะไม่มีวันเติบโตได้จริง”
ภาพประกอบโดย Pete Ryan
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการขายอาหารออนไลน์
จะขายอาหารที่ทำที่บ้านได้หรือไม่
ทำได้ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของอาหารในประเทศไทย หากคุณทำอาหารที่บ้านเพื่อขายออนไลน์หรือขายตรง ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้รับใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบอนุญาตสถานที่ผลิตอาหาร จาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือหน่วยงานท้องถิ่นที่กำกับดูแล
สำหรับอาหารบางประเภท เช่น เบเกอรี อาหารแปรรูป หรืออาหารพร้อมรับประทาน อาจสามารถผลิตจากครัวที่บ้านได้ หากมีการจัดการด้านสุขอนามัยที่เหมาะสม และผ่านการตรวจสอบมาตรฐานแล้ว นอกจากขายออนไลน์ผ่านเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียแล้ว ยังสามารถเริ่มจากการออกบูธตาม ตลาดนัด ถนนคนเดิน หรือ OTOP เพื่อทดสอบตลาดและสร้างฐานลูกค้าได้เช่นกัน
ธุรกิจอาหารแบบไหนที่เริ่มต้นได้ด้วยต้นทุนต่ำที่สุด
การทำอาหารจากบ้านแล้วนำไปขายออนไลน์ถือเป็นวิธีที่คุ้มค่าและประหยัดที่สุด เพราะคุณสามารถเริ่มต้นได้โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูง และค่อย ๆ ขยายธุรกิจเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น
ควรตั้งราคาขายอาหารออนไลน์ยังไง
หลักการง่าย ๆ คือ ต้นทุนผันแปร + ต้นทุนคงที่ + กำไรที่ต้องการ = ราคาขาย แต่สิ่งสำคัญคือต้องคำนึงถึงกลุ่มลูกค้า ว่าพวกเขาพร้อมจะจ่ายในระดับราคาเท่าใด ลองเปรียบเทียบกับคู่แข่งหรือธุรกิจอาหารออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ เพื่อใช้เป็นแนวทางอ้างอิง
จะขายอาหารออนไลน์ได้ยังไง
เริ่มจากกำหนดประเภทอาหารและวิธีการผลิตที่คุณจะใช้ จากนั้นสร้างแบรนด์ วางระบบการขนส่ง จัดทำเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ และพิจารณาขยายไปยังช่องทางขายอื่น ๆ เช่น มาร์เก็ตเพลสออนไลน์ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น


