คุณเจอสินค้าที่อยากขายแล้ว และร้านค้าออนไลน์ของคุณก็เริ่มมียอดขายเข้ามาบ้างในแต่ละสัปดาห์ แต่ตอนนี้คุณอยากจะเหยียบคันเร่งให้มิดแล้วดันยอดขายให้โตขึ้นอีกเป็นสิบเท่า
แต่ด้วยเวลาที่มีจำกัดและงบการตลาดที่มีไม่มาก คุณจะเริ่มจากตรงไหนดี?
คู่มือนี้จะมาแชร์วิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ โดยที่คุณไม่ต้องเสียเวลามากมายไปกับมันเลย
วิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์และทำเงินมากขึ้น
- ค้นหาจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์ของคุณ
- นำฟีดแบ็กของลูกค้ามาปรับใช้
- แชร์รีวิวจากลูกค้า
- ตอบข้อสงสัยผ่านบทความบล็อกที่ปรับแต่งมาอย่างดี
- เสนอโปรโมชันจัดส่งฟรี
- ส่งอีเมลติดตามลูกค้าที่ทิ้งตะกร้าสินค้า
- ใช้กลยุทธ์ Upsell และ Cross-sell
- เพิ่มสัญญาณความน่าเชื่อถือบนร้านค้าออนไลน์
- ปรับปรุงการนำทางบนเว็บไซต์ ให้หาสินค้าง่าย
- ทำให้กระบวนการชำระเงินรวดเร็วที่สุด
- รองรับช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย
- มอบบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม
- จัดทำโปรแกรมสมาชิกเพื่อรักษาฐานลูกค้า
- ใช้ประโยชน์จากการตลาดบนโซเชียลมีเดีย
- ร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์และครีเอเตอร์
- ขยายไลน์สินค้าให้ครอบคลุม
- จัดโปรโมชัน Flash Sale
- ตั้งค่าการตอบกลับอัตโนมัติสำหรับฝ่ายบริการลูกค้า
- แสดงนโยบายการคืนสินค้าที่ชัดเจน
- ปรับแต่งหน้าสินค้าให้ติดอันดับ SEO
- สร้างความหลากหลายให้คอลเลกชันสินค้า
- ใช้กลยุทธ์ตั้งราคาเปรียบเทียบ
- วิเคราะห์ข้อมูลการขายเพื่อปรับกลยุทธ์
1. ค้นหาจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์ของคุณ
Value Proposition หรือจุดขายของคุณ คือสิ่งที่อธิบายว่าทำไมกลุ่มเป้าหมายถึงต้องเลือกแบรนด์และสินค้าของคุณ ลองค้นหาคำตอบนี้ด้วยการสำรวจความคิดเห็นจากลูกค้าเดิมที่มีอยู่ดูว่า ทำไมพวกเขาถึงเลือกสินค้าของคุณแทนที่จะเป็นคู่แข่ง? คุณช่วยแก้ปัญหาอะไรที่คนอื่นทำไม่ได้?
เมื่อคุณระบุจุดขายได้แล้ว ก็ให้นำไปโชว์ให้เห็นในทุกที่ ไม่ว่าจะใส่ไว้ในไบโอโซเชียลมีเดีย วางไว้ในจุดที่เห็นเด่นชัดบนหน้าแรกของเว็บไซต์ และใส่ไว้ในรายละเอียดสินค้า เหมือนอย่างที่ NOVO watch ทำบนร้านค้าออนไลน์ของพวกเขา

Gabriel Bertolo ผู้ก่อตั้ง Radiant Elephant ใช้วิธีการนี้เพื่อช่วยเพิ่มยอดขายให้กับเว็บไซต์ของลูกค้า “มีเว็บไซต์แห่งหนึ่งโดยเฉพาะ หลังจากที่เราออกแบบข้อเสนอคุณค่า และนำไปใช้ในข้อความบนเว็บไซต์แล้ว อัตราการคอนเวอร์ชันโดยรวมก็เพิ่มขึ้นจาก 1.9% เป็น 4% เลยทีเดียว”
“การขายสินค้าออนไลน์มีการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ทุกสิ่งที่คุณทำเพื่อสร้างความแตกต่าง และตอบโจทย์ความต้องการหรือแก้ปัญหาที่ลูกค้ากำลังเผชิญอยู่ จะส่งผลมหาศาลในการเพิ่มยอดขาย”
2. นำฟีดแบ็กของลูกค้ามาปรับใช้
คุณรู้จักลูกค้าเป้าหมายของคุณดีแค่ไหน? ลองใช้แอปพลิเคชันอย่าง Octane AI หรือ Shop Quiz เพื่อรวบรวมข้อมูลเชิงลึก
ตั้งคำถามที่ช่วยค้นหา จุดปัญหา และแนะนำ ผลิตภัณฑ์ที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคล ตามคำตอบของพวกเขา จากนั้น ให้ติดตามผลด้วย แคมเปญการตลาดอีเมลเฉพาะกลุ่ม ที่มุ่งแก้ไขปัญหาเหล่านั้น พร้อมทั้งวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ของคุณให้เป็นทางออก เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า
ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์ Skinny Mixes ใช้แบบทดสอบสูตรอาหารเพื่อทำความเข้าใจว่าลูกค้าเป้าหมายของตนชอบทำอาหารประเภทใด ผู้เข้าร่วมจะได้รับ รหัสส่วนลดพิเศษ ควบคู่ไปกับคำแนะนำสูตรอาหารเฉพาะบุคคล ซึ่งช่วยให้ Skinny Mixes เก็บอีเมลลูกค้าได้ถึง 13,000 ราย และ สร้างรายได้ 500,000 ดอลลาร์
แบบทดสอบสูตรอาหารของ Skinny Mixes สร้างยอดขายอีคอมเมิร์ซให้แบรนด์ได้มากกว่า 500,000 ดอลลาร์
3. แชร์รีวิวจากลูกค้า
คุณรู้หรือไม่ว่า 93% ของลูกค้า มักจะค้นหารีวิวก่อนที่จะซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่
ติดต่อลูกค้าที่พึงพอใจและขอให้พวกเขารีวิวบน Google Business หรือ WongNai ของคุณ จากนั้นให้นำรีวิวเหล่านี้ไปเผยแพร่ผ่านช่องทางต่อไปนี้เพื่อดึงดูดลูกค้าเพิ่มขึ้น
- แคมเปญการตลาดทางอีเมล
- แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
- หน้าผลิตภัณฑ์
Glossier แสดงรีวิวมากกว่า 3,000 รายการจากลูกค้าที่พอใจส่วนใหญ่ในหน้าผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มยอดขาย
4. ตอบข้อสงสัยผ่านบทความบล็อกที่ปรับแต่งมาอย่างดี
คอนเทนต์บล็อกเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าการลงโฆษณาบนโซเชียลมีเดียที่มีราคาแพง แทนที่จะต้องเสียเงินเพื่อดึงดูดลูกค้าที่อาจจะไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายให้หันมาลงทุนกับการทำการตลาดคอนเทนต์ เพื่อดึงดูดลูกค้าในฝันเข้ามาหาคุณ ในจังหวะที่พวกเขากำลังมองหาสินค้าของคุณอยู่จริงๆ จะดีกว่า
ให้ระบุคีย์เวิร์ดที่กลุ่มเป้าหมายของคุณใช้ค้นหา แล้วตอบคำถามของพวกเขาผ่านเนื้อหานั้น พร้อมทั้งใช้หลักการ SEO เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับเมื่อพวกเขาค้นหาข้อมูลผ่าน Google
Beardbrand มุ่งเป้าไปที่คำค้นเช่น “วิธีการปลูกหนวดแบบ Handlebar” และ “วิธีการใช้น้ำมันยูทิลิตี้” ในบล็อกของตน
Noah Kain ผู้ก่อตั้ง Noah Kain Consulting กล่าวว่า "เราช่วยให้ลูกค้า SEO ของเรามีคนเข้าเว็บไซต์มากขึ้นและใช้ วิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์ โดยการสร้างกลยุทธ์คอนเทนต์เฉพาะสำหรับแบรนด์เพื่อเนื้อหาใหม่ๆ การหา Backlink และการแก้ปัญหาด้านเทคนิคและหน้าเว็บไซต์ (On-page)"
"เมื่อทำสิ่งเหล่านี้ให้สอดคล้องกันอย่างสม่ำเสมอ เราก็จะสามารถดึงยอดคนเข้าเว็บและสร้างยอดขายจากคีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งเชื่อมโยงกับยอดขายที่เพิ่มขึ้นโดยตรง"
5. เสนอโปรโมชันจัดส่งฟรี
ไม่ว่าคุณจะขายอะไร ค่าส่งอาจเป็นตัวฉุดยอดขายออนไลน์ของคุณได้ นักช้อปยุคใหม่คาดหวังว่าจะได้รับบริการส่งฟรีสำหรับทุกออเดอร์ และกว่า 47% จะทิ้งตะกร้าสินค้าทันทีหากเจอค่าใช้จ่ายแฝง (เช่น ค่าส่ง) ที่สูงเกินไป
คุณสามารถตอบสนองความคาดหวังนี้ได้ด้วยการจัดโปรโมชันที่เน้นเรื่องส่งฟรี อาจจะกำหนดให้ลูกค้าต้องมียอดซื้อขั้นต่ำเพื่อรับสิทธิ์ส่งฟรี ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ยไปในตัว
Maria Shriver ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ MOSH กล่าวว่า "ใครๆ ก็ชอบของคุ้มค่า ส่วนลดที่จูงใจสำหรับการซื้อซ้ำจะกระตุ้นให้ผู้คนใช้ประโยชน์จากความสะดวกสบายในการรับสินค้าโปรดเป็นประจำ โดยไม่ต้องวุ่นวายกับการกดสั่งซื้อซ้ำๆ"
หลังจากมอบส่วนลด 20% พร้อมโปรส่งฟรีให้กับสมาชิกทางอีเมล Maria เล่าว่า "ยอดขายของเราเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวตั้งแต่เริ่มใช้ระบบสมาชิกแบบประหยัดนี้ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งช่วยให้เราทำยอดขายโปรตีนบาร์ทะลุหนึ่งล้านชิ้นได้ในช่วงต้นเดือนกันยายน แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือมันเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการขอบคุณ ให้รางวัล และรักษาฐานลูกค้าประจำของเราเอาไว้"
Mosh เสนอรหัสส่วนลด 20% สำหรับผู้สมัครรับอีเมลใหม่ เพื่อใช้แลกซื้อชุดทดลองสินค้า
6. ส่งอีเมลติดตามลูกค้าที่ทิ้งตะกร้าสินค้า
ผู้คนอาจเห็นสินค้าที่สนใจบนร้านค้าออนไลน์ของคุณ แต่กลับกดออกไปโดยไม่ซื้อ ลูกค้ามักจะทิ้งตะกร้าสินค้าด้วยเหตุผลร้อยแปด ตั้งแต่ราคาที่ไม่ชัดเจน ไปจนถึงการเสียสมาธิแล้วลืมกลับมาดู
ลองใช้อีเมลแจ้งเตือนตะกร้าสินค้าที่ถูกละทิ้ง เพื่อเตือนความจำว่าพวกเขาได้หยิบสินค้าใส่ตะกร้าไว้แต่ยังไม่ได้ชำระเงิน พร้อมทั้งมอบเหตุผลให้พวกเขาตัดสินใจซื้อตอนนี้ (เช่น มอบส่วนลดเพิ่มเติม) แทนที่จะรอซื้อทีหลัง
ตัวอย่างเช่น แบรนด์ Grenade ใช้วิธีกระตุ้นให้ลูกค้าใหม่รีบกลับมาซื้อสินค้าที่เคยเปิดดู "ก่อนที่จะสายเกินไป"
Grenade สร้างความรู้สึกเร่งด่วนเพื่อเพิ่มยอดขาย ผ่านอีเมลแจ้งเตือนการละทิ้งตะกร้าสินค้า
7. ใช้กลยุทธ์ Upsell และ Cross-sell
บ่อยครั้งที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายคลิกเข้ามาเจอหน้าสินค้าที่อาจจะยังไม่ตรงใจพวกเขาแบบเป๊ะๆ ลองกระตุ้นให้พวกเขาตัดสินใจซื้อโดยใช้กลยุทธ์ทางการตลาดเหล่านี้ ซึ่งเป็นวิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์ที่ยอดเยี่ยม
- Upsells: การแนะนำสินค้าที่มีราคาสูงกว่าชิ้นที่พวกเขากำลังดูอยู่ (เช่น สเปคดีกว่า รุ่นใหม่กว่า)
- Cross-sells: การแนะนำสินค้าที่ใช้คู่กัน หรือช่วยเสริมการใช้งานกับสิ่งที่ลูกค้ามีอยู่ในตะกร้าแล้ว
ตัวอย่างเช่น หากลูกค้ากำลังดูเคส iPhone ราคาประมาณ 630 บาท ให้ลอง Upsell และแนะนำเคสรุ่นที่กันกระแทกได้ในราคาประมาณ 1,300 บาท หรือทำ Cross-sell เพื่อเพิ่มมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ยด้วย PopSocket ลายเข้าชุดกันในราคาประมาณ 165 บาท
8. เพิ่มสัญญาณความน่าเชื่อถือบนร้านค้าออนไลน์
ลูกค้าใหม่มักต้องการความมั่นใจก่อนจะเชื่อถือเว็บไซต์ที่ไม่คุ้นเคย คุณต้องพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่าควรไว้วางใจร้านค้าของคุณด้วยข้อมูลสำคัญ—และเพื่อช่วยวิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์—โดยการแสดงสัญฐาณความน่าเชื่อถือ เช่น
- การรับประกันยินดีคืนเงิน
- รีวิวจากลูกค้าจริง
- นโยบายการคืนสินค้า/คืนเงิน
- ใบรับรอง SSL (ระบบความปลอดภัยของเว็บไซต์)
- โลโก้ของผู้ให้บริการชำระเงิน/บัตรเครดิต
แบรนด์ NCLA Beauty ใช้เทคนิคนี้เพื่อกระตุ้นยอดขายบนร้านค้าออนไลน์ของพวกเขา โดยในส่วนท้ายของเว็บไซต์ ลูกค้าจะได้เห็นโลโก้ของผู้ให้บริการชำระเงินที่พวกเขาคุ้นเคยและวางใจได้อยู่แล้ว
9. ปรับปรุงการนำทางบนเว็บไซต์ ให้หาสินค้าง่าย
การนำทางบนเว็บไซต์เปรียบเสมือนแผนที่นำทางในร้านค้าออนไลน์ของคุณ ช่วยให้นักช้อปค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่ายๆ ด้วยเมนูหลักที่ชัดเจน พาพวกเขาไปยังหน้าหมวดหมู่สินค้าที่มีฟังก์ชันค้นหาและตัวกรอง เพื่อให้ลูกค้าระบุสิ่งที่ต้องการได้อย่างเจาะจง
ในทำนองเดียวกัน คุณสามารถใช้วิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์ได้โดยการเปิดใช้งาน "Breadcrumbs" (แถบนำทางย่อยที่บอกตำแหน่งหน้าเว็บ) บนหน้าสินค้า เพื่อที่ว่าหากมีใครคลิกเข้ามาเจอสินค้านั้นเป็นครั้งแรก พวกเขาก็จะสามารถย้อนดูและค้นพบสินค้าอื่นๆ ที่คล้ายกันได้อย่างรวดเร็ว
Into the AM ปรับแต่งการนำทางอีคอมเมิร์ซเพื่อเน้นผลิตภัณฑ์ที่ขายดี
10. ทำให้กระบวนการชำระเงินรวดเร็วที่สุด
ยิ่งหน้าชำระเงินชัดเจนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นเพิ่มยอดขายออนไลน์ได้มากเท่านั้น ลองจำกัดช่องกรอกข้อมูลให้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้ลูกค้ามึนงงหรือรู้สึกว่าขั้นตอนยุ่งยากเกินไป ลองเปิดใช้งาน Shop Pay เพื่อช่วยกรอกข้อมูลของนักช้อปโดยอัตโนมัติ ทำให้พวกเขาสามารถชำระเงินได้ในคลิกเดียว ซึ่งมีสถิติอัตราการคอนเวอร์ชัน สูงกว่าการชำระเงินแบบปกติถึง 1.72 เท่า
Dan Potter หัวหน้าฝ่ายดิจิทัลของ CRAFTD London แนะนำว่า "ทำให้หน้าเว็บของคุณเรียบง่ายที่สุด โดยขอข้อมูลเท่าที่จำเป็นจริงๆ แล้วปล่อยให้ระบบกรอกข้อมูลอัตโนมัติ (Autofill) จัดการเรื่องบัตรเครดิตให้ การทำให้หน้าชำระเงินไม่ซับซ้อนจะช่วยลดปัญหาลูกค้าทิ้งตะกร้าสินค้าได้"
การชำระเงินแบบคลิกเดียวของ Shop Pay มีอัตราคอนเวอร์ชันสูงขึ้นแม้ในมือถือ
11. รองรับช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย
ยุคของการต้องมานั่งพิมพ์เลขบัตรเครดิตทีละตัวในแบบฟอร์มออนไลน์นั้นผ่านไปนานแล้ว
ผู้บริโภคในปัจจุบันใช้วิธีการชำระเงินที่หลากหลายในการซื้อสินค้าและบริการออนไลน์ คุณสามารถใช้วิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์โดยการเสนอตัวเลือกยอดนิยมให้ครบครัน ได้แก่
- บัตรเดบิตและบัตรเครดิต
- บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง หรือ BNPL (เช่น SPayLater, Klarna หรือ AfterPay)
- กระเป๋าเงินดิจิทัล (เช่น Shop Pay, Rabbit Line Pay หรือ TrueMoneyWallet)
Wolf Circus แสดงให้เห็นว่าลูกค้าสามารถแบ่งการชำระเงินโดยใช้ AfterPay ได้อย่างไร
12. มอบบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม
ลูกค้าใหม่อาจติดต่อทีมงานของคุณด้วยเหตุผลร้อยแปดพันเก้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเสียหายระหว่างจัดส่ง หรือต้องการความช่วยเหลือเรื่องวิธีใช้งานสินค้า การมอบบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยมจะช่วยรักษาฐานลูกค้าและเป็นอีกหนึ่งวิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์ได้
จงทำงานเชิงรุก กล่าวคำขอโทษเมื่อเกิดปัญหา และรีบแก้ไขให้เร็วที่สุด กลยุทธ์นี้ใช้ประโยชน์จากทฤษฎี "Service Recovery Paradox" ซึ่งอธิบายว่า คุณสามารถสร้างความประทับใจและความรู้สึกดีๆ ให้กับลูกค้าได้มากขึ้นหลังจากแก้ไขปัญหาให้พวกเขา ได้มากกว่าตอนที่การซื้อขายราบรื่นไม่มีปัญหาเสียอีก

13. จัดทำโปรแกรมสมาชิกเพื่อรักษาฐานลูกค้า
คุณทำงานหนักเพื่อดึงดูดลูกค้าปัจจุบันเข้ามาแล้ว ลองกระตุ้นให้พวกเขากลับมาซื้อซ้ำด้วยโปรแกรมสมาชิก
2 ใน 3 ของผู้บริโภคบอกว่า การได้สะสมแต้มแลกรางวัลมีผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของพวกเขา ลองรักษาฐานลูกค้าเก่าด้วยการมอบรางวัลสำหรับการซื้อครั้งต่อไป เพื่อกระตุ้นให้พวกเขาสนับสนุนกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลของคุณ
พิจารณามอบรางวัลเมื่อลูกค้าทำสิ่งต่อไปนี้
- แนะนำเพื่อนแบบปากต่อปาก
- แชร์สินค้าของคุณลงโซเชียลมีเดีย
- กลับมาซื้อซ้ำ
Liquid Death กระตุ้นให้ลูกค้าเดิมซื้อซ้ำด้วยสินค้าพิเศษจากโปรแกรมความภักดี
14. ใช้ประโยชน์จากการตลาดบนโซเชียลมีเดีย
ประชากรโลกราว 61.4% เป็นผู้ใช้งานโซเชียลมีเดีย ไม่ว่ากลุ่มเป้าหมาย (Buyer Persona) ของคุณจะเป็นใคร มีโอกาสสูงมากที่คุณจะเจอพวกเขาบนแพลตฟอร์มอย่าง Facebook, X, Pinterest, TikTok หรือ Instagram
การตลาดบนโซเชียลมีเดียที่มีประสิทธิภาพเริ่มต้นจากการเข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างถ่องแท้ พวกเขาสิงสถิตอยู่ที่ไหนบนโลกออนไลน์? ชอบเสพคอนเทนต์แบบไหน? และใช้งานโซเชียลมีเดียอย่างไร? เมื่อรู้คำตอบเหล่านี้ คุณก็จะสามารถปรับกลยุทธ์อีคอมเมิร์ซเพื่อเข้าถึงพวกเขาและดึงคนเข้าสู่ร้านค้าออนไลน์ของคุณได้
แพลตฟอร์มโซเชียลส่วนใหญ่มีฟีเจอร์สำหรับการค้าขายโดยเฉพาะ เช่น Facebook Shop หรือ YouTube Shopping ซึ่ง Shopify สามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อแสดงสินค้าของคุณบนแอปโซเชียลมีเดียต่างๆ ทำให้ผู้ติดตามสามารถเลือกดูและกดซื้อได้โดยไม่ต้องออกจากแอปเลย
15. ร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์และครีเอเตอร์
อินฟลูเอนเซอร์และครีเอเตอร์คือคนที่มีฐานผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียที่น่าประทับใจ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นหลักล้านเสมอไป เพราะ Nano-influencers (คนที่มีผู้ติดตามต่ำกว่า 10,000 คน) มักจะมีกลุ่มผู้ชมที่มีส่วนร่วมสูงที่สุด
ลองใช้ Shopify Collabs เพื่อคัดเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่จะมาร่วมงาน หรือสร้างหน้าสมัครเพื่อให้ลูกค้าปัจจุบันของคุณเริ่มต้นโปรโมทสินค้าได้ ให้พวกเขาเลือกสินค้าหรือสินค้าทดลองฟรีที่ต้องการ แล้วจ่ายค่าคอมมิชชันผ่านระบบ Shopify Billing ที่คุณคุ้นเคยอยู่แล้ว
Duradry เป็นเพียงแบรนด์หนึ่งที่ใช้ Shopify Collabs เป็นวิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์ ภายในเวลาแค่เจ็ดเดือน พวกเขาสร้างคอมมูนิตี้ครีเอเตอร์กว่า 250 คนที่ช่วยโปรโมทสินค้าผ่านโปรไฟล์โซเชียลมีเดีย ทำให้ Duradry สร้างยอดขายได้ถึง 50,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.65 ล้านบาท) และลดต้นทุนการหาลูกค้าใหม่ (CAC) ลงได้ถึง 29%
หน้าแลนดิ้งของ Duradry เปิดโอกาสให้แฟนๆ ที่ภักดีสามารถรับค่าคอมมิชชั่นจากการแนะนำผลิตภัณฑ์
16. ขยายไลน์สินค้าให้ครอบคลุม
ยิ่งคุณมีสินค้าวางขายมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งมีโอกาสใช้วิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์ได้มากเท่านั้น แต่นี่ก็เปรียบเหมือนดาบสองคม คุณต้องการสินค้าคงคลังมากพอที่จะตอบโจทย์ลูกค้าที่หลากหลาย แต่การจะขายให้ทุกคนบนโลกอาจหมายถึงคุณไม่ได้สื่อสารกับใครจริงๆ เลยสักคน
วิธีที่เสี่ยงน้อยที่สุดในการขยายไลน์สินค้าคือการต่อยอดจากสินค้าที่ขายดีอยู่แล้ว เช่น ถ้าคุณขายผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมแล้วพบว่า 40% ของยอดขายมาจากสเปรย์ลดผมชี้ฟู แสดงว่าสินค้านั้นเป็นที่ต้องการ
ลองพิจารณาทำสินค้านั้นในขนาดที่ใหญ่ขึ้น หรือสูตรที่พัฒนาให้ดีขึ้น แล้วทำโฆษณา Retargeting ไปหากลุ่มคนที่เคยซื้อรุ่นแรกไปแล้ว กลยุทธ์นี้เป็นวิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์โดยไม่จำเป็นต้องหาลูกค้ากลุ่มใหม่ คุณแค่ดึงดูดคนที่เคยลองใช้ (และชื่นชอบ!) สินค้าของคุณให้กลับมาอีกครั้ง
17. จัดโปรโมชัน Flash Sale
Flash Sale มีลักษณะคล้ายกับการจัดโปรโมชันทั่วไป แต่มีกรอบเวลาที่จำกัดกว่ามาก แนวคิดแบบ "Flash" นี้หมายความว่าลูกค้าต้องรีบซื้อก่อนที่เวลาจะหมดลง ซึ่งผลการศึกษาชี้ว่าความรู้สึกเร่งด่วนนี้จะกระตุ้นให้นักช้อปออนไลน์ตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น
วิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์ด้วยการการจะจัด Flash Sale ให้สำเร็จมีส่ิงที่ต้องทำ ได้แก่
- ต้องมั่นใจว่ามีสินค้าในสต็อกเพียงพอต่อความต้องการ
- กำหนดวันเริ่มต้นและสิ้นสุดให้ชัดเจน
- สื่อสารการตลาดให้ตรงกันทุกช่องทาง เช่น ใช้ส่วนลดเท่ากันทั้งในทุกช่องทางการตลาดและแบนเนอร์บนเว็บไซต์
- อย่าจัดบ่อยเกินไป (ลูกค้าอาจไม่รีบซื้อถ้ารู้ว่าเดือนหน้าก็จะมี Flash Sale อีก)
Poly & Bark เปิดตัว Flash Sale ฉลองวันแรงงาน
18. ตั้งค่าการตอบกลับอัตโนมัติสำหรับฝ่ายบริการลูกค้า
คุณอุตส่าห์ทุ่มเททำงานหนักเพื่อดึงคนเข้ามาที่ร้านค้าออนไลน์ได้แล้ว อย่ามาตกม้าตายตอนจบเพียงเพราะไม่ได้จัดการกับข้อสงสัยหรือข้อโต้แย้งของลูกค้า แชทบอทอัตโนมัติสามารถช่วยแบ่งเบาภาระนี้ได้ ด้วยการให้คำตอบลูกค้าแบบเรียลไทม์สำหรับคำถามที่พบบ่อย
Shopify Inbox ช่วยให้คุณตอบคำถามลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อได้ทันที เช่น:
- จัดส่งนานแค่ไหน?
- นโยบายการคืนเงินเป็นอย่างไร?
- ตอนนี้มีส่วนลดอะไรบ้าง?
- สินค้าของฉันอยู่ที่ไหนแล้ว?
Rennie Wood เจ้าของร่วมของ Wood Wood Toys กล่าวว่า "คนที่ใช้งานแชทคือลูกค้าที่มีความตั้งใจซื้อสูงและมักจะจบด้วยการซื้อสินค้า ผมอาจระบุเป็นตัวเลขเป๊ะๆ ไม่ได้ แต่ผมรู้เลยว่าถ้ามีใครติดต่อเข้ามาพร้อมปัญหา ผมกล้าพนันว่า 8 ใน 10 ครั้ง เราสามารถแก้ปัญหาและปิดการขายได้สำเร็จ"
ทีเด็ดของ Shopify Inbox คือคุณสามารถใช้ Shopify Magic เพื่อตั้งค่าการตอบกลับอัตโนมัติ เครื่องมือ Generative AI นี้จะช่วยแนะนำคำถาม FAQ ที่ลูกค้าของคุณน่าจะถาม และสร้างคำตอบเตรียมไว้ให้โดยที่คุณไม่ต้องลงมือเองเลย
คุณสามารถตั้งค่าการตอบกลับอัตโนมัติสำหรับคำถามที่พบบ่อย (FAQ) ของคุณได้ด้วย Shopify Inbox
19. แสดงนโยบายการคืนสินค้าที่ชัดเจน
อาจฟังดูย้อนแย้งที่จะบอกวิธีคืนสินค้าให้ลูกค้าทราบก่อนที่เขาจะตัดสินใจซื้อ แต่มันคือสิ่งสำคัญสำหรับวิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์ ผลการศึกษาพบว่านโยบายการคืนสินค้ามีผลต่อการตัดสินใจซื้อถึง 82% โดยนักช้อปออนไลน์จำนวนมากมักจะเปิดอ่านนโยบายนี้ก่อนที่จะกดสั่งซื้อครั้งแรก
คุณควรเน้นข้อมูลสำคัญจากนโยบายการคืนสินค้าให้ชัดเจน เช่น:
- ลูกค้ามีเวลากี่วันในการเริ่มทำเรื่องคืนสินค้า
- อะไรที่คืนได้ (หรือคืนไม่ได้)
- การคืนสินค้าทำได้ฟรี หรือมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ให้แสดงข้อมูลเหล่านี้ในจุดเล็กๆ เช่น ส่วนท้ายของเว็บไซต์ ข้อความในหน้าชำระเงิน หรือใต้รายละเอียดสินค้า เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าที่กำลังลังเลให้กล้าตัดสินใจซื้อ
20. ปรับแต่งหน้าสินค้าให้ติดอันดับ SEO
การทำ Search Engine Optimization (SEO) คือกลยุทธ์ที่จะช่วยให้คุณได้เจอกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ในจังหวะที่พวกเขากำลังค้นหาสินค้าแบบเดียวกับที่คุณขาย
เริ่มต้นด้วยการวิจัยคีย์เวิร์ด (Keyword Research) เพื่อดูว่าลูกค้าใช้คำว่าอะไรในการค้นหา เมื่อได้รายการคำค้นหามาแล้ว ให้จับคู่คีย์เวิร์ดกับหน้าสินค้าที่เกี่ยวข้อง แล้วแทรกคำเหล่านั้นลงใน:
- Meta title และ descriptions
- Heading tags (หัวข้อต่างๆ)
- Alt text ของรูปภาพ
- URL
- รายละเอียดสินค้า
เคล็ดลับระดับโปร: อย่าจำกัดกลยุทธ์ SEO อีคอมเมิร์ซไว้แค่บน Google แม้ว่าจะเป็นเสิร์ชเอนจินที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ผู้คนก็ยังใช้ YouTube, TikTok และ Pinterest ในการค้นหาข้อมูลเช่นกัน ดังนั้นจงนำหลักการ SEO ที่ดีไปใช้กับทุกคอนเทนต์ที่คุณเผยแพร่บนแพลตฟอร์มเหล่านี้ด้วย
21. สร้างความหลากหลายให้คอลเลกชันสินค้า
คอลเลกชันสินค้าช่วยให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์เลือกดูสินค้าที่ต้องการได้ง่ายขึ้น อย่าจัดกลุ่มสินค้าแค่ตามประเภท (เช่น "เสื้อยืด") แต่ให้ลองสร้างคอลเลกชันที่ช่วยให้ลูกค้าค้นพบสินค้าใหม่ๆ ดู ตัวอย่างเช่น:
- สินค้าขายดี (Bestsellers)
- สินค้าลดราคา
- สินค้าตามงบประมาณ เช่น "ของขวัญงบไม่เกิน 800 บาท"
- สินค้าตามการใช้งาน เช่น "อุปกรณ์ตกปลา"
- สินค้าสำหรับผู้รับ เช่น "ของขวัญสำหรับคุณแม่มือใหม่"
Hydrant ช่วยให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์สามารถซื้อสินค้าตามประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่คัดสรร
22. ใช้กลยุทธ์ตั้งราคาเปรียบเทียบ
กลยุทธ์การตั้งราคาเปรียบเทียบ คือเทคนิคการขายที่นำราคาเก่ามาวางเทียบกับราคาใหม่ ถ้าคุณขายสินค้าชิ้นหนึ่งในราคาปกติ 1,500 บาท แต่ลดเหลือ 1,200 บาท คุณควรขีดฆ่าราคา "ก่อนลด" เพื่อแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าพวกเขาได้รับความคุ้มค่ามากแค่ไหน
แต่มีข้อควรระวังก่อนใช้กลยุทธ์นี้ คือราคา "ก่อนลด" ต้องเป็นราคาขายจริงในอดีต คุณอาจเดือดร้อนได้หากตั้งราคาตั้งต้นให้สูงเกินจริงเพื่อหลอกลูกค้าว่าลดเยอะ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่
Nerdwax ใช้การตั้งราคาเปรียบเทียบเพื่อแสดงคุณค่าของข้อเสนอของตน
23. วิเคราะห์ข้อมูลการขายเพื่อปรับกลยุทธ์
ข้อมูลการวิเคราะห์การขาย (Sales Analytics) คือข้อมูลเฉพาะของร้านค้าคุณ ซึ่งจะช่วยชี้นำการตัดสินใจ เพราะคุณกำลังวางกลยุทธ์การขายและการตลาดโดยอิงจากข้อมูลในอดีตที่แสดงให้เห็นว่าผู้คนซื้อของจากคุณอย่างไรและมีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์ของคุณแบบไหน
สมมติว่าคุณดูข้อมูลวิเคราะห์ของ Shopify แล้วพบว่า Facebook ดึงคนเข้าเว็บได้ถึง 55% แต่คนกลุ่มนี้มีอัตราคอนเวอร์ชันแค่ 2.4% ในทางกลับกัน TikTok ดึงคนเข้ามาได้แค่ 1 ใน 4 ของทั้งหมด แต่กลับมีอัตราคอนเวอร์ชันสูงถึง 4.5% การปรับลำดับความสำคัญและโยกงบประมาณไปลงคอนเทนต์ TikTok จึงดูสมเหตุสมผลกว่า เพราะพิสูจน์แล้วว่าให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่สูงกว่า
การเพิ่มยอดขายออนไลน์คือกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง
วิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์ที่ดีที่สุดของแต่ละร้านนั้นแตกต่างกันไป ค้นหาว่าอะไรที่เวิร์กสำหรับเว็บไซต์ของคุณ แล้วลุยทางนั้นให้เต็มที่
หมั่นติดต่อสื่อสารกับฐานลูกค้าเดิมอยู่เสมอ เพื่อให้ก้าวทันความต้องการที่เปลี่ยนไปตลอดเวลาของการช้อปปิ้งออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงบริการลูกค้า หรือการเสนอโปรส่งฟรี คุณก็สามารถสร้างยอดขายให้เติบโตอย่างมั่นคงได้เรื่อยๆ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์
การเสนอโปรส่งฟรีช่วยวิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์ได้จริงหรือ
ได้จริง การส่งฟรีสามารถช่วยเพิ่มยอดขายได้ ผลการศึกษาชี้ว่า 62% ของนักช้อปออนไลน์จะไม่ซื้อสินค้าจากร้านที่มีค่าจัดส่งเพิ่มเติม และปัญหานี้ยังเป็นสาเหตุให้คนถึง 48% ทิ้งตะกร้าสินค้าไปกลางคัน
สัญญาณความน่าเชื่อถือคืออะไร และส่งผลต่อยอดขายอย่างไร
สัญลักษณ์ความน่าเชื่อถือ เช่น รีวิวจากลูกค้า, การรับประกันยินดีคืนเงิน และการรับรองจากอินฟลูเอนเซอร์ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับหน้าร้านของคุณ สิ่งเหล่านี้ทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจมากขึ้นที่จะตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการจากคุณ
เราจะทำอย่างไรเพื่อเพิ่มยอดขายออนไลน์ให้ได้มากขึ้น
- ทำแคมเปญอีเมลติดตามลูกค้าที่ทิ้งตะกร้า
- เริ่มโปรแกรมสมาชิกสำหรับลูกค้าปัจจุบัน
- ใช้ระบบชำระเงินแบบคลิกเดียว
- เสนอส่งฟรีทุกออเดอร์
- รองรับช่องทางการชำระเงินทางเลือกที่หลากหลาย
- ยิงโฆษณาหาลูกค้าที่มีลักษณะคล้ายกลุ่มเป้าหมาย
- ปรับแต่ง SEO ให้เว็บไซต์
- ร่วมมือกับครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์
- ปรับปรุงการนำทางบนเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย
- ทดลองทำการตลาดบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียใหม่ๆ
- เพิ่มสัญลักษณ์ความน่าเชื่อถือบนหน้าเว็บ
- แชร์รีวิว จากลูกค้า
การลงทุนกับบริการหลังการขายช่วยเพิ่มยอดขายในอนาคตได้อย่างไร
การแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าที่ไม่พอใจสามารถสร้างความรู้สึกดีๆ และเพิ่มความภักดีต่อแบรนด์ได้ สิ่งนี้ทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะกลับมาซื้อซ้ำ แนะนำแบรนด์ของคุณให้เพื่อน และบอกเล่าประสบการณ์ดีๆ ที่ได้รับลงบนโซเชียลมีเดีย
ทำไมการทำให้ขั้นตอนชำระเงินเร็วขึ้นถึงมีส่วนช่วยเพิ่มยอดขาย
หน้าชำระเงินคือจุดที่มีความเสี่ยงสูงสุดที่จะเสียยอดขาย มีการประเมินว่าอัตราการทิ้งตะกร้าเฉลี่ยในหน้าชำระเงินอยู่ที่ประมาณ 70% การกำจัดความยุ่งยากและลดจำนวนขั้นตอนการชำระเงินลง จะช่วยให้ลูกค้าซื้อสิ่งที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว และส่งผลดีต่อผลกำไรของคุณ


