เคยเห็นชื่อโดเมนหรือที่อยู่เว็บไซต์แล้วสงสัยไหมว่า ใครกันที่ไวกว่าคนอื่น (หรือมาก่อนใคร) จนได้มันไปครอง?
ในปี 1994 ตอนที่การจดโดเมนยังเหมือนดินแดนป่าเถื่อนของอินเทอร์เน็ตอยู่ มีโปรแกรมเมอร์คนหนึ่งในซานฟรานซิสโกตัดสินใจจด Milk.com แบบไม่ได้คิดอะไร เขาไม่ได้ทำธุรกิจนม และไม่ได้มีไอเดียสตาร์ทอัปอะไรทั้งนั้น แค่ชอบช็อกโกแลตมิลก์ และรู้สึกว่าฉายา “Milk Boy” มันตลกดี
ผ่านมาเกือบ 30 ปี ความคิดชั่ววูบนั้นกลายเป็นทำเลทองบนอินเทอร์เน็ตและในโลก SEO มีมูลค่าตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงมากกว่าล้านบาทก็มี นี่แหละความจริงของชื่อโดเมน “คำธรรมดา ๆ คำเดียวก็กลายเป็นทรัพย์สินมหาศาลได้”
เพราะฉะนั้นเวลาคุณอยากได้ชื่อโดเมนสำหรับธุรกิจแล้วพบว่ามีคนใช้ไปแล้ว คำถามแรกคือ “ใครเป็นเจ้าของ?” และวิธีรู้เร็วที่สุดคือการใช้ WHOIS Lookup (อ่านว่า “ฮูอิส”) แม้บางครั้งจะเจอระบบซ่อนข้อมูลและ RDAP ที่ปิดรายละเอียดไว้ แต่ก็ยังมีหลายวิธีตามรอยเจ้าของโดเมนและติดต่อได้อยู่ดี
WHOIS Lookup คืออะไร?
WHOIS Lookup คือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณดูได้ว่าใครเป็นคนจดทะเบียนโดเมน และถือครองมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เปรียบเทียบง่าย ๆ ก็เหมือนทะเบียนบ้านของโดเมน ทุกชื่อโดเมนที่ถูกจดจะถูกบันทึกไว้ในระบบ พร้อมข้อมูลเจ้าของ คนรับจด และวันหมดอายุ
โดเมนทุกชื่อที่ซื้อผ่านผู้ให้บริการรับจดโดเมนที่ได้รับการรับรอง จะถูกบันทึกลงในฐานข้อมูล WHOIS ระดับสากล
เมื่อคุณกรอกชื่อโดเมน (หรือแม้แต่หมายเลข IP) ลงในเครื่องมือ WHOIS ระบบจะตรวจสอบข้อมูลในรีจิสทรีที่เกี่ยวข้อง แล้วดึงข้อมูลล่าสุดมาให้ โดยข้อมูลที่อาจเห็นได้ มีดังนี้
- ข้อมูลผู้ถือครอง: ชื่อ บุคคล องค์กร หรือบริการพร็อกซีที่จดโดเมนแทน
- วันเริ่มจดและวันหมดอายุ: ระบุว่าจดครั้งแรกเมื่อไหร่ และโดเมนจะหมดอายุเมื่อไหร่
- ข้อมูลผู้รับจด: บริษัทที่ใช้ในการซื้อโดเมน
- ช่องทางติดต่อ: อีเมล หรือที่อยู่พร็อกซีที่ใช้ติดต่อเจ้าของ
- เนมเซิร์ฟเวอร์: ข้อมูล DNS ที่บอกว่าโดเมนชี้ไปที่ไหน และโฮสต์อยู่ที่ผู้ให้บริการใด
Historical WHOIS คืออะไร?
WHOIS Lookup แบบทั่วไปจะบอกคุณว่า “ตอนนี้” ใครเป็นเจ้าของโดเมนอยู่ แต่ Historical WHOIS จะเจาะลึกกว่า เพราะแสดงข้อมูลย้อนหลังหลายปี ทั้งประวัติผู้ถือครองเดิม การย้ายผู้ให้บริการรับจดโดเมน (registrar) และรายละเอียดทางเทคนิคที่เคยถูกบันทึกไว้
พูดง่าย ๆ คือเหมือนคุณดูโฉนดบ้านย้อนหลังว่าเคยผ่านมือใครมาบ้าง
แล้วทำไปเพื่ออะไร?
- ตรวจสอบภัยคุกคามด้านความปลอดภัย: แค่ไตรมาส 2 ปี 2025 มีโดเมนถูกจดเพิ่มมากกว่า 26 ล้านโดเมน หลายชื่อถูกนำไปใช้ทำฟิชชิง สแปม หรือแคมเปญอันตรายต่าง ๆ อีกหลายชื่อถูกนำกลับมาใช้ซ้ำเพื่อทำพฤติกรรมแบบเดิม การดูประวัติ WHOIS ช่วยให้เห็นรูปแบบพฤติกรรมและจับตาผู้กระทำผิดซ้ำได้
- ใช้ประกอบคดีหรือสืบสวน: เมื่อเจ้าของโดเมนซ่อนข้อมูลผ่านบริการปกปิด WHOIS หรือ RDAP ข้อมูลย้อนหลังสามารถช่วยเติมช่องว่างได้ เห็นการเปลี่ยนมือ ความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ หรือการใช้งานโดเมนไม่เหมาะสมในช่วงก่อนหน้า
- ตรวจสอบประวัติก่อนซื้อโดเมน: ไตรมาสแรกปี 2025 มีโดเมนที่ถูกจดอยู่ราว 368.4 ล้านชื่อ โอกาสสูงมากที่ชื่อที่คุณอยากได้เคยถูกใช้มาก่อน ข้อมูลประวัติช่วยเช็กว่าโดเมนนั้นเคยเกี่ยวข้องกับสแปม มัลแวร์ หรือการใช้งานที่อาจทำให้แบรนด์คุณเสียหาย หรือกระทบการส่งอีเมลหรือไม่
- ประเมินศักยภาพด้าน SEO: โดเมนที่อายุยาวมักมีอำนาจทางการค้นหาดีกว่า ถ้าประวัติสะอาด Historical WHOIS จะช่วยให้เห็นว่าโดเมนนั้นเคยถูกใช้อย่างต่อเนื่องไหม เปลี่ยนเจ้าบ่อยหรือเปล่า หรือเคยถูกทิ้ง/นำกลับมาใช้ใหม่แบบไม่น่าไว้ใจหรือไม่
ปัจจุบันมีหลายผู้ให้บริการที่เก็บคลังประวัติ WHOIS ย้อนหลัง บางที่มีมากกว่า 15 ปี ตัวเลือกที่น่าใช้ในปี 2025 ได้แก่
- DomainTools: คลังข้อมูลย้อนหลังที่ใหญ่มาก ครอบคลุมหลายปี
- WhoisXML API: ใช้ดูข้อมูล WHOIS แบบย้อนหลังจำนวนมาก (bulk) พร้อมข้อมูลโดเมนจดใหม่และโดเมนหมดอายุรายวัน
- ViewDNS.info: เหมาะสำหรับเช็กภาพรวมแบบเร็ว ๆ เหมาะกับที่ปรึกษา SEO หรือธุรกิจขนาดเล็ก
วิธีเช็คเจ้าของโดเมน
นี่คือ 5 ขั้นตอนง่าย ๆ ที่ช่วยให้คุณหาข้อมูลได้ครบ
1. หาเครื่องมือ WHOIS Lookup
เครื่องมือพวกนี้จะส่งคำค้นไปยังรีจิสทรีโดเมนทั่วโลก แล้วดึงข้อมูลกลับมาให้ เช่น ผู้ให้บริการรับจดโดเมน (registrar) วันที่จด วันหมดอายุ เนมเซิร์ฟเวอร์ และถ้าไม่ได้ซ่อนข้อมูลไว้ ก็จะมีข้อมูลติดต่อของเจ้าของโดเมนอยู่ด้วย
เริ่มต้นง่ายที่สุดคือใช้ Whois domain lookup ใส่ชื่อโดเมนที่ต้องการ แล้วดูได้ทันทีว่าใครเป็นเจ้าของโดเมนนั้น

ถ้าคุณเช็กแล้วชื่อโดเมนที่ต้องการยังว่างอยู่ สามารถค้นหาต่อได้ผ่านเครื่องมือค้นหาโดเมนของ Shopify แค่กรอกชื่อโดเมนที่อยากใช้ ระบบจะแสดงตัวเลือกโดเมนยอดนิยมและนามสกุล (extensions) ที่ยังว่างให้เลือกทันที ถ้าเจอโดเมนที่ถูกใจ ก็จดได้เลยจากหน้าเดียวกัน สะดวกและรวดเร็วมาก
เครื่องมือค้นหาโดเมนของ Shopify ช่วยให้คุณค้นหา เลือก และซื้อชื่อโดเมนที่ต้องการได้ครบจบในที่เดียว
ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการใช้งานแบบไหน คุณอาจลองผู้ให้บริการอื่น ๆ ต่อไปนี้ด้วย
- ICANN Lookup เป็นบริการค้นหาโดเมนอย่างเป็นทางการจาก ICANN (องค์กรกำกับดูแลโดเมนระดับสากล) ให้ผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้จากผู้รับจดโดเมนที่ได้รับการรับรองทั้งหมด
- GoDaddy WHOIS เป็นเครื่องมือที่ถูกใช้กันอย่างกว้างขวาง ใช้งานง่าย และเหมาะมากถ้าคุณอยากดูตัวเลือกการซื้อโดเมนผ่านบริการนายหน้าของ GoDaddy
- Hostinger WHOIS เครื่องมือฟรีแบบใช้ง่าย เหมาะสำหรับเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการเช็กข้อมูลโดเมนแบบรวดเร็ว
- Network Solutions WHOIS หนึ่งในเครื่องมือของผู้ให้บริการรับจดโดเมนรายแรก ๆ ของโลก และยังให้ข้อมูล WHOIS แบบละเอียดอยู่ถึงปัจจุบัน
- DNSimple WHOIS ออกแบบมาสำหรับนักพัฒนาโดยเฉพาะ อินเทอร์เฟซเรียบง่าย และรองรับการเชื่อมต่อกับบริการจัดการ DNS ได้เป็นอย่างดี
2. ค้นหาชื่อโดเมน URL
ในการค้นหาข้อมูลโดเมน ให้ป้อน URL ของโดเมนลงในแถบค้นหา WHOIS และกดปุ่มค้นหา
ในขั้นแรก WHOIS จะแสดงข้อมูลพื้นฐาน ประวัติของโดเมน ID, เซิร์ฟเวอร์ ผู้จดทะเบียนโดเมน และ URL รวมถึงวันที่สร้าง ตัวอย่างด้านล่างแสดงให้เห็นว่า shopify.com ถูกสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2003 และจดทะเบียนกับ Markmonitor
ข้อมูลโดเมนที่ WHOIS ให้มีลักษณะดังนี้
คุณยังสามารถเลือก “ดูข้อมูลเพิ่มเติม” เพื่อขยายหน้าต่างและดูข้อมูล WHOIS เพิ่มเติมเกี่ยวกับชื่อโดเมน
ขยายผลการค้นหาของคุณเพื่อดูข้อมูลการลงทะเบียนโดเมนอย่างละเอียด
3. เช็กว่าข้อมูลติดต่อถูกซ่อนไว้หรือไม่
เวลาใช้ WHOIS Lookup คุณอาจไม่เห็นชื่อหรืออีเมลของผู้จดโดเมนเสมอไป เพราะเจ้าของโดเมนจำนวนมากใช้บริการซ่อนข้อมูล (privacy shield) หรือพร็อกซีที่แทนข้อมูลจริงด้วยข้อมูลกลาง ในกรณีแบบนี้ คุณอาจเห็นแค่
- อีเมลที่ถูกปกปิด (พร็อกซีอีเมลที่ส่งต่อไปยังเจ้าของตัวจริง)
- ชื่อบริษัทที่ให้บริการซ่อนข้อมูลแทนชื่อผู้จดโดเมน
- แบบฟอร์มติดต่อกลางที่ผู้ให้บริการรับจดโดเมนเตรียมไว้
แต่ไม่ได้หมายความว่าหาต่อไม่ได้ คุณยังสามารถติดต่อผ่านอีเมลพร็อกซีหรือช่องทางที่ผู้รับจดโดเมนให้ไว้ในข้อมูล WHOIS ได้อยู่ดี
แนวโน้มนี้เกิดขึ้นบ่อยมากขึ้นเรื่อย ๆ ณ เดือนกรกฎาคม 2025 มีโดเมนที่จดใหม่กว่า 53.1% ที่ข้อมูล WHOIS ถูกปิดไว้ ซึ่งมากกว่าครึ่งของโดเมนที่ถูกจดใหม่ทั้งหมด ดังนั้นการเจอข้อมูลที่ถูกซ่อนถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าข้อมูลถูกปิดเอาไว้ทั้งหมดก็อย่าเพิ่งยอมแพ้ คุณยังสามารถใช้ช่องทางพร็อกซีที่ให้ไว้ ตรวจสอบ WHOIS ย้อนหลัง หรือเช็กข้อมูลเทคนิคอื่น ๆ อย่าง DNS หรือ SSL เพื่อไล่หาตัวเจ้าของได้ใกล้ขึ้น
4. หาข้อมูลติดต่อของผู้จดโดเมน
ถ้าข้อมูลผู้ถือครองโดเมนถูกซ่อนไว้ ลองค้นหาชื่อบริษัทที่เป็นเจ้าของโดเมนนั้นด้วยการเสิร์ชบนเว็บเพิ่มเติม อาจพบหน้า Contact Us หรือ About Us ที่มีรายชื่อผู้บริหาร ผู้ก่อตั้ง หรือเจ้าของบริษัท หากไม่พบข้อมูลเหล่านี้ ลองค้นหาว่าบริษัทจดทะเบียนอยู่รัฐหรือประเทศไหน แล้วใช้ฐานข้อมูลทางการของพื้นที่นั้นช่วยตรวจสอบเพิ่มเติม
ให้มองหาฐานข้อมูลจากหน่วยงานรัฐ เช่น เว็บไซต์ของกระทรวงพาณิชย์ กรมสรรพากร หรือเลขาธิการรัฐของประเทศนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น หากบริษัทในฟลอริดาเป็นผู้ถือโดเมน คุณสามารถใช้ฐานข้อมูลท้องถิ่นค้นหาข้อมูลเจ้าของกิจการได้จากชื่อบริษัทประเภท LLC เลขทะเบียนผู้เสียภาษี (EIN) ที่อยู่ เบอร์โทร หรือแม้แต่ชื่อผู้รับมอบอำนาจทางกฎหมาย (registered agent) แต่อย่าลืมว่า คนที่เป็นเจ้าของบริษัท อาจไม่ใช่คนเดียวกับเจ้าของโดเมนเสมอไป
5. ใช้ Reverse WHOIS เพื่อตรวจโดเมนที่เชื่อมโยงกัน
WHOIS Lookup แบบทั่วไปจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับโดเมนเพียงหนึ่งชื่อ แต่ Reverse WHOIS จะทำตรงกันข้าม
แทนที่จะเริ่มจากชื่อโดเมน คุณเริ่มจากข้อมูลบางอย่างของผู้จด เช่น อีเมล ชื่อองค์กร หรือเบอร์โทร จากนั้นระบบจะแสดงโดเมนทั้งหมดที่เคยถูกจดด้วยข้อมูลเดียวกัน วิธีนี้มีประโยชน์มากในหลายกรณี เช่น
- งานสืบสวนด้านความปลอดภัย ดูเครือข่ายที่เป็นอันตรายได้ง่ายขึ้น เช่น โดเมนจำนวนมากที่ถูกใช้ทำฟิชชิงหรือสแปมและเชื่อมโยงกับผู้จดรายเดียวกัน
- ป้องกันแบรนด์ถูกสวมสิทธิ์ ช่วยตรวจสอบคนที่ไปจดโดเมนคล้ายชื่อแบรนด์หลายชื่อ เช่น yourbrand-shop.com, yourbrand-sale.net, yourbrand.io
- วิจัยอาชญากรรมไซเบอร์ เชื่อมโยงเว็บไซต์ต้องสงสัยหลายเว็บที่ดูไม่เกี่ยวกัน แต่จริง ๆ จดด้วยข้อมูลเดียวกัน
- ทำ Due Diligence ก่อนร่วมงานหรือซื้อกิจการ ตรวจสอบพอร์ตโดเมนของบริษัทปลายทางว่ามีพฤติกรรมน่าสงสัยหรือไม่
เนื่องจากโดเมนจำนวนมากใช้บริการซ่อนข้อมูล Reverse WHOIS จะได้ผลดีที่สุดเมื่อมีข้อมูลตั้งต้นที่ชัดเจน เช่น อีเมลผู้จด โดยผู้ให้บริการแบบเสียเงินอย่าง DomainTools และ WhoisXML API มีความสามารถด้าน Reverse WHOIS แบบครบถ้วน สามารถตามรอยผู้จดได้จากโดเมนหลักสิบไปจนถึงหลักร้อยชื่อ
ทำยังไงต่อ เมื่อรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของโดเมน
เมื่อคุณรู้ว่าใครเป็นเจ้าของโดเมนที่คุณต้องการได้มา ก็ถึงเวลาที่จะหาวิธีติดต่อพวกเขาและเจรจาข้อตกลง เพื่อขอรับสิทธิการถือครองโดเมนมาเป็นของคุณ
ติดต่อเจ้าของโดเมน
ขั้นแรกคือต้องหาวิธีติดต่อเจ้าของโดเมนก่อน เคล็ดลับด้านบนอาจช่วยให้คุณเจอที่อยู่สำหรับส่งเอกสาร แต่ถ้าต้องการติดต่อผ่านช่องทางอื่น เช่น อีเมล ให้เริ่มจากการค้นหาชื่อเจ้าของบน Google
พิมพ์ชื่อบุคคลนั้นลงไปใน Google แล้วดูผลลัพธ์ที่ขึ้นมา หรือค้นหาว่า “[ชื่อ] email address” หรือ “[ชื่อ] contact information” หากยังไม่เจอ ให้ลองใช้ฐานข้อมูลอย่าง Hunter.io หรือ LinkedIn เพื่อช่วยค้นหาอีเมลและข้อมูลติดต่อ
เจรจาซื้อโดเมน
เมื่อคุณติดต่อเจ้าของโดเมนได้แล้ว ให้เตรียมพร้อมสำหรับการเจรจา เตรียมจำนวนเงินในใจ แต่ต้องเตรียมรับข้อเสนอแย้งหรือราคาที่อีกฝ่ายเสนอเพิ่มด้วย
เวลาประเมินราคาที่เหมาะสม ลองพิจารณาค่า Domain Authority หรือความแข็งแรงของ SEO บนโดเมนเดิม ถ้าเว็บไซต์เก่า ไม่อัปเดต และอันดับไม่ดีบนหน้าผลการค้นหา (SERPs) คุณสามารถเสนอราคาต่ำลงได้ แต่ถ้าเป็นเว็บที่อัปเดตสม่ำเสมอ มี SEO ดี และมีตัวตนบนช่องทางออนไลน์หลายแพลตฟอร์ม ราคาจะต้องสูงขึ้นตามคุณค่าที่โดเมนสร้างไว้แล้ว
เช็คประวัติโดเมน (Due Diligence) ก่อนซื้อ
ก่อนจะโอนโดเมนมาใช้กับธุรกิจของตัวเอง ควรเช็กประวัติให้ครบว่าปลอดภัย ไม่มีประวัติแย่ที่อาจกระทบแบรนด์ SEO หรือการส่งอีเมลในอนาคต
สิ่งที่ควรตรวจมีประมาณนี้
- ดูว่ามีปัญหาเครื่องหมายการค้าหรือไม่ ลองค้นหาผ่านฐานข้อมูลอย่าง WIPO เพื่อตรวจว่าชื่อนี้ไปทับกับเครื่องหมายการค้าของใครหรือไม่ ถ้าเผลอซื้อโดเมนที่มีข้อพิพาทอยู่ อาจต้องเจอเรื่องกฎหมายหรือโดนบังคับให้คืนโดเมนได้
- เช็กว่าเคยถูกใช้ทำฟิชชิงหรือสแปมหรือเปล่า เข้าไปดูใน PhishTank ว่าโดเมนเคยมีประวัติไม่ดีไหม ถ้าเคยถูกใช้ทำฟิชชิงหรือสแปม มันอาจลากความน่าเชื่อถือของธุรกิจคุณลงไปด้วย รวมถึงทำให้ส่งอีเมลเข้ากล่องอินบ็อกซ์ยากขึ้น
- ดูว่าติดบล็อกลิสต์หรือไม่ ใช้เครื่องมือตรวจบล็อกลิสต์เพื่อดูว่าโดเมนนี้เคยโดนผู้ให้บริการอีเมลหรือระบบความปลอดภัยขึ้นบัญชีดำหรือไม่ ถ้าเคยโดนมาก่อน แก้ไขให้กลับมาปกติค่อนข้างใช้เวลาและเงิน
- ขอข้อมูลเพิ่มเติมถ้า WHOIS ถูกซ่อน ถ้าข้อมูลใน WHOIS หรือ RDAP ถูกปิดไว้หมด คุณสามารถใช้บริการ RDRS ของ ICANN ยื่นขอข้อมูลผู้จดโดเมนได้ วิธีนี้มักใช้ในเคสด้านกฎหมาย การสืบสวน หรือปกป้องแบรนด์
💡ทิปส์: อย่ามองข้ามขั้นตอนนี้ ถึงโดเมนจะดูปกติ แต่แค่ค้นใน WIPO หรือดูประวัติบน PhishTank ก็อาจเจอความเสี่ยงซ่อนอยู่ เช่น เคยฟ้องร้องกันเรื่องชื่อแบรนด์ หรือเคยเป็นโดเมนสแปมมาก่อน ซึ่งอาจสร้างปัญหาใหญ่ทั้งด้าน SEO และความเชื่อมั่นของลูกค้าในภายหลัง
ย้ายเว็บไซต์ไปใช้โดเมนใหม่
หลังจากได้สิทธิ์ความเป็นเจ้าของโดเมนเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการย้ายเว็บไซต์เดิมของคุณไปยังโดเมนใหม่ ซึ่งมีหลายวิธีที่ทำได้ไม่ยาก โดยเฉพาะถ้าย้ายมายัง Shopify
แต่ถ้าคุณกำลังเริ่มสร้างเว็บไซต์ใหม่ตั้งแต่ต้น ก็ข้ามขั้นตอนนี้ได้เลย แล้วเริ่มสร้างเว็บบน Shopify ได้ทันที พร้อมตัวเลือกเชื่อมต่อโดเมนจากผู้ให้บริการอื่นแบบง่าย ๆ
ทำยังไงถ้าซื้อโดเมนที่ต้องการไม่ได้
บางครั้ง แม้จะเช็ก WHOIS และลองติดต่อเจ้าของแล้ว เขาอาจไม่ขาย หรือเสนอราคาที่สูงเกินเหตุ แต่ยังมีตัวเลือกอื่นที่ใช้ได้ดีไม่แพ้กัน
คิดชื่อโดเมนสำรองไว้เป็นตัวเลือกใหม่
ถ้าจองชื่อโดเมนที่ต้องการไม่ได้ ก็ถึงเวลาลองหาไอเดียใหม่หรือมองหาผู้ให้บริการรับจดโดเมนรายอื่น ลองใช้เคล็ดลับด้านล่างนี้ เพื่อหาชื่อโดเมนได้เร็วขึ้น
- ลองใช้โดเมนระดับสูง (TLD) ที่ไม่ใช่ TLD ซึ่ง TLD คือส่วนท้ายหลังจุด เช่น .com วิธีการก็คือคุณอาจลองตรวจว่าโดเมนที่ต้องการยังว่างในนามสกุลอื่นหรือไม่ เช่น .co, .org, .shop, .biz เป็นต้น
- เพิ่มคำในชื่อโดเมน คำอย่าง “shop” และ “buy” มักใส่แล้วเข้ากับธุรกิจได้ดี ตัวอย่างเช่น shoes.com ไม่ว่าง ก็ให้ลอง shopshoes.com หรือ buyshoes.com หรือจะเปลี่ยนไปใช้ TLD เช่น .shop หรือ .store ก็ได้
- ใช้โปรแกรมตั้งชื่อโดเมน โปรแกรมตั้งชื่อโดเมนฟรีของ Shopify จะเปลี่ยนไอเดียและคำสำคัญของคุณให้เป็นชื่อโดเมนที่สร้างสรรค์สำหรับธุรกิจของคุณ
ลองใช้เครื่องสร้างชื่อโดเมนฟรีของเรา
โปรแกรมตั้งชื่อโดเมนฟรีของ Shopify ช่วยให้คุณคิดไอเดีย ตรวจสอบว่าโดเมนยังว่างอยู่หรือไม่ และจดโดเมนได้ทันที จบครบง่ายในที่เดียว
ซื้อโดเมนผ่านตลาดประมูลและมาร์เก็ตเพลส
การประมูลโดเมนตัวเลือกตรงกลางสำหรับเจ้าของโดเมนและผู้ซื้อ โดยมีบริการเอสโครว์คอยดูแลความปลอดภัยของทั้งสองฝ่าย เงินจะถูกพักไว้จนกว่าการโอนโดเมนจะเสร็จสมบูรณ์
ตลาดเหล่านี้เหมาะสำหรับกคนที่ต้องการโดเมนสวย ๆ หรือโดเมนพรีเมียม แต่ค่าใช้จ่ายของโดเมนอาจเพิ่มขึ้น เนื่องจากเจ้าของใช้ระบบประมูลเพื่อดันราคาสูงขึ้น ทำให้ค่าโดเมนอาจแพงกว่าที่คิด
ความเข้าใจเรื่อง WHOIS Privacy และการเปลี่ยนแปลงหลัง GDPR
หลังปี 2018 ที่มีกฎหมาย GDPR ของสหภาพยุโรป ข้อมูล WHOIS ก็ถูกปรับวิธีเก็บและเผยแพร่ใหม่หลายอย่าง จุดประสงค์หลักคือปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล แต่ผลที่ตามมาคือข้อมูลเจ้าของโดเมนถูกเปิดเผยน้อยลงกว่าเดิมมาก
ต่อมาในเดือนสิงหาคม 2025 ICANN ได้ออกนโยบายใหม่ชื่อ Registration Data Policy (RDP) มาแทนกฎชั่วคราวเดิม ทำให้มาตรฐานด้านข้อมูลมีความเข้มงวดขึ้น ทั้งเรื่องข้อมูลที่ต้องเปิดเผยและวิธีจัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้องผู้จดโดเมน
สิ่งที่เปลี่ยนไปมีดังนี้
- ภายใต้นโยบายใหม่ WHOIS/RDDS จะปิด หรือจำกัดการเข้าถึงข้อมูลติดต่อหลายส่วนโดยอัตโนมัติ เว้นแต่ว่าผู้จดโดเมนยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลเอง หรือรีจิสทรีกำหนดให้ต้องแสดงข้อมูลนั้น
- นับตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคม 2025 ผู้ให้บริการรับจดโดเมนทุกรายต้องปฏิบัติตาม ทำให้การค้นหา WHOIS แบบสาธารณะมักไม่แสดงข้อมูลอย่าง billing contact, admin contact หรือ technical contact อีกต่อไป
- ช่อง “Organization/Company” ในข้อมูลติดต่อโดเมนมีความสำคัญมากขึ้น เช่น หากกรอกชื่อองค์กรไว้ องค์กรนั้นจะถือเป็นผู้ถือครองโดเมนตามกฎหมาย หรือถ้าเว้นช่องนี้ว่างไว้ จะถือว่าบุคคลที่ระบุชื่อในช่องผู้จดโดเมนเป็นเจ้าของโดเมนโดยตรง
สิ่งที่ควรทำภายใต้นโยบายใหม่
- ตรวจข้อมูลโดเมนที่ใช้อยู่ตอนนี้ เช็กให้แน่ใจว่าช่อง Organization (ถ้าใช้) และชื่อผู้จดโดเมนถูกต้อง เพราะข้อมูลตรงนี้จะเป็นตัวกำหนด “เจ้าของโดเมนตามกฎหมาย” ภายใต้กฎใหม่
- ดูว่าข้อมูลไหนถูกแสดงต่อสาธารณะ ลองค้น WHOIS/RDDS เพื่อดูว่าฟิลด์ใดถูกซ่อนและฟิลด์ใดถูกเปิดเผย จะได้รู้ว่าข้อมูลส่วนไหนปลอดภัยและส่วนไหนยังมองเห็นได้จากภายนอก
- เก็บหลักฐานไว้ล่วงหน้า ถ้าต้องการข้อมูลติดต่อ เช่น admin, billing หรือ technical contact ไว้ใช้งานในอนาคต ให้บันทึกเก็บไว้ก่อน เพราะข้อมูลเหล่านี้กำลังถูกปิดมากขึ้นเรื่อย ๆ
- ใช้เครื่องมืออื่นประกอบการค้นหา ถ้า WHOIS ให้ข้อมูลไม่พอ ลองใช้ Historical WHOIS, RDAP, Reverse WHOIS หรือบริการ RDRS ของ ICANN เครื่องมือพวกนี้ช่วยเติมช่องว่างข้อมูลที่ WHOIS เวอร์ชันใหม่ปิดไว้
สำหรับผู้ขาย การเปลี่ยนแปลงนี้หมายถึงการปกป้องข้อมูลตัวเองมากขึ้น รวมถึงต้องเข้าใจด้วยว่าเวลาตรวจโดเมนของคู่แข่ง ร้านที่แอบอ้าง หรือผู้ที่จดโดเมนใกล้เคียง ข้อมูลที่เห็นอาจไม่ครบเหมือนเดิมอีกต่อไป
ปกป้องความเป็นส่วนตัวจากอินเตอร์เน็ต
เหมือนกับเวลาที่คุณอยากรู้ว่าเจ้าของโดเมนของคู่แข่งเป็นใคร หรืออยากตรวจสอบเว็บไซต์ที่น่าสงสัย เจ้าของโดเมนเองก็เสี่ยงโดนเปิดเผยข้อมูลเช่นกัน เพราะตอนที่คุณจดโดเมน ชื่อ อีเมล และบางครั้งเบอร์โทรของคุณอาจถูกบันทึกลงในฐานข้อมูล WHOIS ที่ใครก็เข้าถึงได้
ผลคือสแปมเมอร์หรือมิจฉาชีพสามารถดึงข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในทางที่ผิดได้ง่าย
ถ้าไม่ต้องการให้ข้อมูลส่วนตัวของคุณโผล่ใน WHOIS ควรใช้วิธีป้องกันเหล่านี้
ใช้บริการซ่อนข้อมูลโดเมน
บริการป้องกันความเป็นส่วนตัวของโดเมนจะเปลี่ยนรายละเอียดของคุณบนฐานข้อมูล WHOIS ด้วยวิธีนี้ ทุกครั้งที่มีคนค้นหาโดเมนของคุณ ผลการค้นหาจะระบุเกี่ยวกับผู้ให้บริการซ่อนข้อมูลแทนชื่อ อีเมล หรือเบอร์โทรของคุณ
จดโดเมนพร้อมเปิดใช้ระบบปกป้องข้อมูลตั้งแต่แรก
ผู้ให้บริการรับจดโดเมนหลายรายมีตัวเลือกให้ซ่อนข้อมูลส่วนตัวตั้งแต่ขั้นตอนจดโดเมน โดยจะใช้ข้อมูลของผู้ให้บริการแทนคุณ บางรายอาจคิดค่าบริการเพิ่ม แต่โดยทั่วไปถือว่าคุ้มกับความปลอดภัยที่ได้
สำหรับ Shopify แทบทุกโดเมนจะมีระบบ WHOIS privacy protection ให้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว (ยกเว้นในบางกรณีที่กฎ WHOIS ไม่อนุญาตให้ซ่อน) ทำให้ข้อมูลของคุณไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะตั้งแต่วันแรกที่จดโดเมน
จำกัดข้อมูลส่วนตัวบน WHOIS
ปกติ WHOIS จะแสดงทั้งชื่อ–นามสกุล อีเมล ที่อยู่ไปรษณีย์ และเบอร์โทรของเจ้าของโดเมน หากไม่ได้ใช้บริการซ่อนข้อมูลโดเมน ก็ยังลดการเปิดเผยข้อมูลได้ด้วยวิธีเหล่านี้
- ใช้ที่อยู่ตู้ ปณ. (PO Box) ที่อยู่เสมือน (virtual mailbox) หรือที่อยู่ธุรกิจแทนบ้านจริง
- สร้างอีเมลเฉพาะไว้ใช้สำหรับจดโดเมน
- ใช้เบอร์โทรธุรกิจฟรีหรือเบอร์บริการเสมือนแทนเบอร์ส่วนตัว
พิจารณาจดโดเมนในนามนิติบุคคล
การใช้ชื่อบริษัทหรือบริษัทจำกัดแยกออกจากตัวบุคคล เป็นประโยชน์ทั้งในด้านภาษี ความน่าเชื่อถือ และช่วยกันข้อมูลส่วนตัวไม่ให้ขึ้นบน WHOIS
“ถ้าโดเมนใช้สำหรับธุรกิจ ควรจดในนามธุรกิจ เพราะข้อมูลบริษัทมักถูกเปิดเผยอยู่แล้ว ไม่ใช่ข้อมูลส่วนตัวของคุณ” Dave Smyth นักออกแบบ UX/UI อิสระให้คำแนะนำ
ตรวจสอบข้อมูลจดทะเบียนโดเมนเป็นประจำ
โดเมนไม่ได้ซื้อขาด แต่เป็นการเช่าเป็นรอบ ๆ หากลืมต่ออายุโดเมน ก็มีโอกาสหลุดมือแล้วถูกผู้อื่นซื้อไปใช้ต่อได้ทันที
ผู้ให้บริการโดเมนยังอาศัยข้อมูลใน WHOIS เพื่อแจ้งเตือนเรื่องสำคัญ เช่น การต่ออายุหรือคำขอโยกโดเมน ดังนั้นควรอัปเดตข้อมูลให้ถูกต้องเสมอ เพื่อไม่ให้พลาดการแจ้งเตือน
มีกรณีโด่งดังที่ Google เคยทำโดเมนตัวเองหลุดไปหนึ่งนาทีเต็ม เพราะต่ออายุพลาด จนอดีตพนักงานสามารถซื้อโดเมนไปได้ ก่อนจะตกลงคืนให้โดยนำเงินไปบริจาคเพื่อการกุศล
ตั้งค่าโดเมนของคุณบน Shopify
พร้อมเริ่มใช้งานโดเมนใหม่แล้วหรือยัง? ถ้าจดโดเมนผ่าน Shopify คุณจะได้ใช้งานเครื่องมือธุรกิจครบชุดทันที ทั้งการจัดการโดเมนและฟีเจอร์อื่นที่ช่วยให้ร้านออนไลน์เติบโตได้ง่ายขึ้น
Shopify ออกแบบให้ผู้ประกอบการสร้างธุรกิจออนไลน์ได้แบบไม่ซับซ้อน ตั้งแต่ระบบจัดการสต็อก การจัดส่งและฟูลฟิลเมนต์ ไปจนถึงระบบอัตโนมัติด้านการตลาดทั้งหมดบนแพลตฟอร์มเดียว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีเช็คเจ้าของโดเมน
WHOIS ใช้ทำอะไรได้บ้าง?
WHOIS lookup ใช้ค้นหาว่าใครเป็นเจ้าของโดเมน ตรวจข้อมูลผู้จดทะเบียน (registrar) และดูวันเริ่มจด/วันหมดอายุของโดเมน ธุรกิจ นักความปลอดภัยไซเบอร์ และผู้ใช้งานทั่วไปใช้เครื่องมือนี้เพื่อตรวจสอบความน่าเชื่อถือ ติดต่อเจ้าของโดเมนหรือเช็กประวัติ
เราจะตามเจ้าของโดเมนที่ตั้งค่าเป็น Private ได้หรือไม่?
ทำได้ แต่ไม่เสมอไป เพราะหลายโดเมนใช้บริการซ่อนข้อมูล ทำให้ไม่เห็นชื่อหรืออีเมลจริง อย่างไรก็ตาม คุณยังติดต่อเจ้าของได้ผ่านอีเมลพร็อกซีจาก WHOIS ช่องทาง abuse ของ registrar ประวัติ WHOIS แบบย้อนหลัง หรือผ่านบริการอย่าง ICANN RDRS
การใช้ WHOIS lookup ผิดกฎหมายมั้ย?
ไม่ผิดกฎหมาย เนื่องจาก WHOIS เป็นฐานข้อมูลสาธารณะที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ICANN แต่ข้อมูลที่มองเห็นอาจถูกปิดบางส่วนตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูล เช่น GDPR และนโยบายของผู้ให้บริการโดเมน
ถ้า WHOIS ถูกปิดข้อมูล ควรใช้อะไรแทน?
คุณสามารถใช้เครื่องมืออื่น ๆ เช่น
- WHOIS ประวัติย้อนหลัง
- Reverse WHOIS
- ตรวจข้อมูล DNS หรือ SSL certificate
- ส่งคำขอผ่าน ICANN RDRS เพื่อขอข้อมูลแบบมีเหตุผลจำเป็น
GDPR ส่งผลต่อข้อมูล WHOIS อย่างไร?
หลัง GDPR เริ่มใช้ในปี 2018 ข้อมูลส่วนบุคคลส่วนใหญ่บน WHOIS เช่น อีเมล เบอร์โทร ชื่อ ถูกซ่อนโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ นโยบาย Registration Data Policy ปี 2025 ของ ICANN ยังทำให้การปิดข้อมูลเป็นมาตรฐานของทุก registrar
WHOIS แบบประวัติย้อนหลังแสดงข้อมูลอะไรบ้าง?
ประวัติ WHOIS จะเผยข้อมูลย้อนหลังหลายปี เช่น เจ้าของโดเมนก่อนหน้า การเปลี่ยน registrar ประวัติการต่ออายุ และบางครั้งมีข้อมูลติดต่อเดิมที่ไม่ถูกปิดบัง ใช้ประโยชน์ได้มากในงานตรวจสอบด้านความปลอดภัย การเช็กประวัติโดเมนก่อนซื้อ และการประเมินอายุโดเมนเพื่อ SEO


