Headless commerce เป็นหนึ่งในเทรนด์ที่เติบโตเร็วที่สุดในวงการอีคอมเมิร์ซ แนวคิดนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วเพราะผู้เชี่ยวชาญหลายคนยกให้เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้อย่างเห็นผล และความคล่องตัวที่ไม่มีใครเทียบได้ในการทำการเปลี่ยนแปลงทันที ดูผิวเผินแล้ว การเลือกใช้ headless ดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ชัดเจนใช่มั้ย?
ระบบนี้ให้อิสระในการสร้างสรรค์อย่างเต็มที่แก่แบรนด์ ขณะเดียวกันก็ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างประสบการณ์อีคอมเมิร์ซที่เป็นเอกลักษณ์ด้วยเทคโนโลยีที่พวกเขาชื่นชอบ แต่การนำ Headless Commerce มาใช้นั้นไม่ง่ายเหมือนที่มักจะโฆษณากัน และมีเหตุผลมากมายว่าทำไมการใช้ headless จึงไม่เหมาะสมกับผู้ค้าทุกราย
ก่อนที่คุณจะตัดสินใจไปใช้ระบบแบบ Headless มาทำความเข้าใจให้ลึกขึ้นว่าแนวคิดนี้คืออะไร มีข้อดีอย่างไร และ Shopify ช่วยให้แบรนด์นับพันทั่วโลกใช้ Headless Commerce เพื่อสร้างประสบการณ์อีคอมเมิร์ซที่ล้ำหน้าได้อย่างไร
Headless commerce คืออะไร?
Headless commerce คือรูปแบบอีคอมเมิร์ซแยกส่วนของหน้าร้านออกจากระบบหลังบ้าน ทำให้เกิดความยืดหยุ่นในการส่งมอบเนื้อหาผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน จุดบริการ และอุปกรณ์ IoT
แบรนด์ต่างๆ ชื่นชอบแนวทางนี้ เพราะช่วยให้สามารถออกแบบหน้าร้านออนไลน์ได้อย่างอิสระ เปิดโอกาสให้สร้างประสบการณ์หน้าร้านที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งโดยปกติแล้วไม่สามารถทำได้บนตัวที่ระบบแบบเดิม นักพัฒนาก็ชื่นชอบที่จะใช้ headless เพราะมันให้ระดับการควบคุมการพัฒนาได้เต็มที่ และให้อิสระผ่านโครงสร้างแบบ composable
ด้วยการทำงานแบบนี้ ธุรกิจสามารถสร้างประสบการณ์หลากหลายบนหลายช่องทาง เช่น เว็บไซต์ มือถือ เสียง (voice) หรือจุดขาย (POS) โดยทั้งหมดเชื่อมต่อกับระบบหลังบ้านเดียวกันผ่าน API ชั้นกลาง ทำให้แบรนด์สามารถทำตลาดแบบ omnichannel ได้จริงและขยายสู่ตลาดต่างประเทศได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ในส่วนของระบบหลังบ้าน Headless Commerce ใช้บริการที่เชื่อมกันแบบหลวม (loosely coupled) เพื่อรองรับความซับซ้อนของการดำเนินงานในแต่ละธุรกิจ ด้วยโครงสร้างแบบ composable คุณสามารถเลือกใช้ CMS, CRM หรือ DXP ที่ต้องการได้แบบ plug-and-play และไม่มีการผูกขาดกับผู้ให้บริการรายใดรายหนึ่ง ทำให้สามารถเปลี่ยนหรืออัปเกรดระบบได้อย่างอิสระเมื่อธุรกิจขยายตัวขึ้น
3 ประโยชน์สำคัญของ Headless Commerce
ข้อดีที่ใหญ่ที่สุดของ headless commerce คือความยืดหยุ่น เพราะระบบนี้ถูกออกแบบมาให้พร้อมปรับตัวไปกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้ธุรกิจอยู่ในจุดที่พร้อมรองรับทุกเทรนด์อีคอมเมิร์ซในอนาคต
แต่นั่นไม่ใช่ข้อดีเดียว ธุรกิจรุ่นใหม่จำนวนมากเลือกใช้ Headless Commerce ด้วยเหตุผลหลัก 3 ประการดังนี้
- อิสระเต็มรูปแบบในการออกแบบประสบการณ์
- ประสิทธิภาพเว็บไซต์ที่ดียิ่งขึ้น
- เชื่อมต่อเครื่องมือและบริการที่ต้องการได้อย่างอิสระ
1. อิสระเต็มรูปแบบในการออกแบบประสบการณ์
การใช้ Headless Commerce ช่วยให้สร้างรูปลักษณ์และความรู้สึกที่แบรนด์ของคุณต้องการได้อย่างแม่นยำ โดยไม่มีข้อจำกัดจากระบบหลังบ้านเหมือนในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแบบเดิม
ธุรกิจส่วนใหญ่เริ่มต้นด้วยระบบแบบ Monolithic ซึ่งส่วนแสดงผล (เช่น ธีม หรือเทมเพลต) ถูกกำหนดอย่างชัดเจนและเชื่อมต่อกับหลังบ้าน ทำให้เป็นสถานที่เหมาะสำหรับสร้างร้านค้าออนไลน์อย่างรวดเร็วและนำผลิตภัณฑ์สู่ตลาด เมื่อแบรนด์ของคุณเติบโตในด้านอัตลักษณ์ดิจิทัล หน้าร้านของคุณจะต้องการการปรับแต่งมากขึ้นเพื่อให้ได้ประสบการณ์ที่มีชีวิตชีวาและเป็นส่วนตัวมากขึ้น
ระบบอย่าง Shopify Online Store 2.0 ได้ขยายขีดความสามารถของธีมและเทมเพลตด้วยเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาที่ช่วยให้สามารถสร้างประสบการณ์เฉพาะแบรนด์ได้มากขึ้น แต่เมื่อถึงจุดที่โครงสร้างแบบเดิมเริ่มกลายเป็นข้อจำกัด Headless Commerce คือคำตอบ เพราะช่วยให้คุณเลือกใช้เครื่องมือที่ดีที่สุดในแต่ละด้าน เพื่อสร้างประสบการณ์หน้าร้านที่ตรงตามจินตนาการของแบรนด์ได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้ Headless ยังช่วยให้คุณสามารถทดสอบ (A/B Test) การออกแบบหรือฟีเจอร์ใหม่ ๆ ได้ทันที เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้และเพิ่มอัตราการซื้อให้ดียิ่งขึ้น โดยไม่กระทบต่อระบบหลัก เพราะ front end และ back end ถูกแยกออกจากกันอย่างอิสระ จึงง่ายกว่าและมีความเสี่ยงน้อยกว่าในการเปลี่ยนแปลง front end โดยรู้ว่าคุณจะไม่ส่งผลกระทบต่อสถาปัตยกรรม back-end พื้นฐานของเว็บไซต์
ตัวอย่างเช่น แบรนด์ซีเรียล OffLimits Cereal ใช้ Headless Commerce สร้างประสบการณ์การซื้อที่เหมือนตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ พร้อมระบบชำระเงินแบบเกมมิฟายด์ที่ทำให้การซื้อซีเรียลกลายเป็นเรื่องสนุกและไม่เหมือนใคร
2. ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ที่ดีขึ้น
เมื่อลูกค้าเข้ามาในเว็บไซต์ของคุณ คุณมีเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นในการดึงดูดความสนใจและทำให้หน้าโหลดเสร็จอย่างรวดเร็ว
WebsiteBuilderExpert พบว่าความเร็วในการโหลดสามารถเพิ่มหรือทำลายโอกาสของการเข้าชมเว็บไซต์ได้
- ผู้ใช้สมาร์ทโฟน 64% คาดหวังให้หน้าเว็บโหลดภายใน 4 วินาที
- ผู้บริโภค 40% จะรอไม่เกิน 3 วินาทีก่อนที่จะออกจากเว็บไซต์
- ผู้บริโภค 82% กล่าวว่าความเร็วหน้าเว็บที่ช้าส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ
การใช้ Headless Commerce ช่วยให้สามารถสร้างหน้าเว็บไซต์ที่โหลดเร็วขึ้นทั้งบนเดสก์ท็อปและมือถือ ซึ่งไม่เพียงช่วยลดอัตราการเด้งออก (bounce rate) แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อยอดขายด้วย เพราะเมื่อเว็บไซต์เร็วขึ้นเพียง 1 วินาที ธุรกิจที่มียอดขายวันละประมาณ 100,000 บาท อาจสร้างรายได้เพิ่มได้อีกกว่า 7,000 บาทต่อวัน
ลูกค้าจะไม่เรียนรู้ที่จะอดทนกับหน้าเว็บที่โหลดช้า พวกเขากดออกไปและเข้าเว็บคู่แข่งแทน การใช้ Headless Commerce ช่วยให้แบรนด์สามารถปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าและลดการสูญเสียลูกค้า และเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น
3. เชื่อมต่อเครื่องมือและบริการที่คุณต้องการได้อย่างอิสระ
ระบบอีคอมเมิร์ซเดิมที่มีอยู่ที่เขียนด้วยโครงสร้างต่างกัน และอาจกลายเป็นอุปสรรคในการเชื่อมต่อระบบสำคัญ แต่ Headless Commerce แก้ปัญหานี้ได้ เพราะสามารถทำงานร่วมกับระบบอื่นได้อย่างราบรื่น
ด้วย API ที่ทรงพลัง ส่งผลให้ headless ช่วยคุณบูรณาการระบบที่มีอยู่ทั้งหมด (อย่างเช่น ERP, PIM และ IMS) สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งโดยใช้ภาษาโปรแกรมที่ต้องการ ไม่เพียงแต่จะปกป้องคุณจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี แต่ headless ยังให้พลังในการเคลื่อนไหวตามจังหวะของคุณเองและปรับตัวให้เร็วเท่ากับการค้าเอง
Headless commerce ยังช่วยให้นักพัฒนาใช้ Composable Tech Stack ซึ่งให้ความยืดหยุ่นในระดับที่ไม่มีใครเทียบได้ คุณสามารถเปลี่ยนหรือตัดส่วนประกอบบางอย่างออกได้ทันทีเมื่อไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป การเชื่อมต่อแบบโมดูลาร์และแอปพลิเคชันชั้นเลิศช่วยให้สามารถเพิ่มหรือลดฟังก์ชันต่าง ๆ ได้โดยไม่กระทบต่อระบบหลักทั้งหมด ทำให้ธุรกิจพร้อมปรับตัวได้ทุกเมื่อ
Headless commerce เหมาะกับธุรกิจของคุณหรือไม่?
หากธุรกิจของคุณดำเนินได้ดีอยู่แล้วด้วยโครงสร้างระบบแบบเดิม อาจไม่คุ้มค่ากับเวลาและงบประมาณที่ต้องใช้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเป้าหมายและสิ่งที่คุณอยากพัฒนาให้ธุรกิจไปต่อ
แต่หากคุณต้องการประสบการณ์ลูกค้าที่เฉพาะตัวมากขึ้น ควบคู่ไปกับการพัฒนาที่ยืดหยุ่นมากขึ้น และมีทีมพัฒนาที่พร้อมรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบ Headless แนวทางนี้อาจเป็นคำตอบที่เหมาะที่สุดสำหรับคุณ
แบรนด์ที่เริ่มสำรวจระบบโครงสร้างแบบ Headless Commerce มักจะเห็นตัวเองในสถานการณ์เหล่านี้
- มีโครงสร้างระบบอยู่แล้ว แต่การเพิ่มเครื่องมือใหม่ ๆ เข้ากับเทคโนโลยีเดิมทำได้ยาก
- รู้สึกว่าธุรกิจเคลื่อนไหวช้ากว่าคู่แข่ง เพราะไม่สามารถปรับ front-end และ back-end ได้พร้อมกัน
- ต้องการให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น และควบคุมปัจจัยที่ส่งผลต่อความเร็วและประสิทธิภาพได้มากขึ้น
- อยากออกแบบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไม่จำกัดอยู่ในธีมหรือเทมเพลตของแพลตฟอร์มเดิม
- ยังไม่มีแอปมือถือสำหรับ iOS หรือ Android หรือมีแต่ยังไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้
- ต้องการสร้างหน้าร้านออนไลน์ในรูปแบบใหม่ เช่น Smart mirror, Wearable tech หรือ Vending machine ที่แพลตฟอร์มปัจจุบันไม่รองรับ
พิจารณาต้นทุนให้รอบด้าน
ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ Headless Commerce ให้พิจารณาต้นทุนและเวลา ราคาสำหรับโครงการ headless ระดับองค์กรอาจมีต้นทุนตั้งแต่หลายแสนถึงหลายล้านล่วงหน้า บวกกับต้นทุนการบำรุงรักษาประจำปี ขึ้นอยู่กับฟังก์ชันการทำงาน เครื่องมือสนับสนุน และระดับการปรับแต่ง
หากเป็นช่องทางอื่นที่สร้างบนระบบ Headless เช่น แอปมือถือ ระบบสตรีมเสียง หรือการเชื่อมต่อกับเกม อาจมีต้นทุนเพียงเดือนละประมาณ 3,500 บาทขึ้นไป หากใช้แอปช่วยสร้างหน้าร้านเฉพาะของคุณ
ต้นทุนของ Headless Commerce จะขึ้นอยู่กับ “ความซับซ้อนของระบบที่คุณต้องการ” ซึ่งไม่ใช่แค่ค่าพัฒนาและติดตั้งเท่านั้น อย่าลืมรวมถึงค่าบริการจากเอเจนซีภายนอก ค่าใช้จ่ายรายเดือน เช่น ค่าสมัครใช้แพลตฟอร์ม CMS แบบ Headless หรือค่าบริการโฮสต์บนระบบคลาวด์ด้วย
ก้าวสู่ Headless Commerce ด้วย Shopify
Shopify ได้สนับสนุนธุรกิจหลายพันแห่งที่ต้องการเปลี่ยนแพลตฟอร์มไปสู่โครงสร้างระบบแบบ Headless Commerce ซึ่งทั้งนักพัฒนาและผู้ค้าต่างก็ใช้ประโยชน์จากชุดเครื่องมือพัฒนา headless อันครบครันของ Shopify เพื่อสร้างประสบการณ์อีคอมเมิร์ซที่ออกแบบเฉพาะแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้เวลาน้อยลง และลดต้นทุนได้มากขึ้น
โซลูชัน Headless Commerce ของ Shopify เสนอให้ผู้ค้าและนักพัฒนามีอิสระในการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับงานและขยายความสามารถของร้านค้าด้วยเทคโนโลยีแบบ Composable Stack โดยโซลูชัน headless ของ Shopify ประกอบด้วย
- Storefront API ชั้น API headless ของ Shopify
- Hydrogen และ Oxygen สแต็กการพัฒนาอย่างเป็นทางการของ Shopify Headless Commerce
ต่อไปเราจะมาดูกันอย่างละเอียดว่าแต่ละเครื่องมือของ Shopify ช่วยให้ธุรกิจทุกขนาดสามารถก้าวเข้าสู่ระบบ Headless Commerce ได้อย่างคล่องตัวและคุ้มค่าที่สุดอย่างไร
Storefront API
Storefront API คือรากฐานสำคัญของระบบ Headless Commerce บน Shopify ที่เปิดให้เข้าถึงความสามารถหลักทั้งหมดของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ตั้งแต่ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าโดยตรง เช่น
- ระบบตะกร้าสินค้าแบบปรับแต่งได้
- หน้าสินค้าและหน้ารวมหมวดหมู่
- ระบบค้นหาและแนะนำสินค้า
- การตั้งราคาระดับบริบท เช่น ราคาที่แสดงเฉพาะลูกค้าประเภทต่าง ๆ
- ระบบสมัครสมาชิกและฟังก์ชัน B2B อื่น ๆ
จุดแข็งของ Storefront API คือ ไม่ผูกติดกับเฟรมเวิร์กหรืออุปกรณ์ใดเป็นพิเศษ นักพัฒนาจึงสามารถใช้เทคโนโลยีที่ถนัดอยู่แล้ว เช่น Next.js, Gatsby และ Astro และเลือกโฮสต์เว็บไซต์กับผู้ให้บริการที่ต้องการได้ รวมถึงเชื่อมต่อกับระบบภายนอกใด ๆ ที่มี API ได้โดยตรง
ตัวอย่างเช่น แบรนด์เสื้อผ้าออนไลน์ Kotn ใช้ Shopify Storefront API ร่วมกับ Next.js เพื่อรวมร้านค้าสองแห่งเข้าด้วยกัน พร้อมพัฒนา CMS ใหม่ หน้าสินค้าเฉพาะแบรนด์ และขั้นตอนชำระเงินแบบปรับแต่งเองทั้งหมด
“Shopify ตอบโจทย์เราได้ถึง 80% และอีก 20% คือสิ่งที่เราต้องการปรับแต่งเพิ่มเติมด้วย Headless ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เราสามารถสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ได้จริง”
เบนจามิน เซห์ล ผู้ร่วมก่อตั้ง Kotn
Storefront API ยังมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่รวดเร็วอย่างมากบนทุกอุปกรณ์ ทุกช่องทาง และทุกพื้นที่ โดยรองรับปริมาณคำขอจำนวนมากโดยไม่จำกัดอัตราและทำงานแบบ Edge Deployment เพื่อให้ผู้ใช้ทุกคนเข้าถึงได้รวดเร็วที่สุด
และสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการเทคโนโลยีที่พร้อมใช้งานและช่วยให้พัฒนาได้เร็วขึ้น Hydrogen และ Oxygen คือคำตอบต่อไปของ Shopify
Hydrogen และ Oxygen
สแต็กการพัฒนาอย่างเป็นทางการของ Shopify ประกอบด้วย Hydrogen และ Oxyge เครื่องมือสองตัวที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักพัฒนาสร้างเว็บไซต์ Headless Commerce ที่มีความยืดหยุ่น โหลดเร็ว และสามารถขยายระบบได้แบบไร้ขีดจำกัด
Hydrogen สร้างขึ้นบน Remix framework ที่ใช้ React และใช้ประโยชน์จากความง่ายในการใช้งาน มาตรฐานการพัฒนาเว็บคุณภาพสูง และความก้าวหน้าด้านประสิทธิภาพเช่น Optimistic UI, Nested Routes และ Progressive Enhancement
แม้ Hydrogen จะมีโครงสร้างที่ชัดเจน แต่ก็ยังคงความเป็นโมดูลาร์ โดยมี components, hooks และ utilities ที่ได้รับการปรับแต่งมาแล้วให้เหมาะกับ Shopify APIs ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างเว็บได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องแลกระหว่างความเร็วกับความเสถียรและยังสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องมือหรือบริการที่ใช้อยู่แล้วได้อย่างอิสระ
Oxygen คือโซลูชันโฮสต์ของ Shopify ที่ออกแบบมาสำหรับการดีพลอยเว็บไซต์ Hydrogen โดยเฉพาะ ทำงานแบบ Edge Rendering ผ่านจุดให้บริการกว่า 285 แห่งทั่วโลก เพื่อให้การโหลดเว็บไซต์รวดเร็วสูงสุดทุกที่ทุกเวลา Oxygen ยังมาพร้อมในทุกแพ็กเกจของ Shopify โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ให้ทีมพัฒนาควบคุมการดีพลอยได้เต็มที่ พร้อมรับประกันประสิทธิภาพและความเสถียรระดับโลกในต้นทุนที่คุ้มค่ากว่า
เมื่อเร็วๆ นี้ Patta และ Tommy Hilfiger ใช้ประโยชน์จาก Hydrogen และ Oxygen เพื่อสร้างหน้าร้านออนไลน์สุดแปลกใหม่ เพื่อเปิดตัวคอลเลกชันร่วมกัน โดยนำแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมฮิปฮอปยุค 90s มาผสานเข้ากับประสบการณ์อีคอมเมิร์ซที่ดึงดูดสายตา ทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียง 14 วัน ในการเปิดตัวเว็บไซต์
นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายตัวอย่างของแบรนด์ระดับโลกที่เปลี่ยนมาสู่ Headless Commerce ด้วย Hydrogen และ Oxygen เพื่อสร้างประสบการณ์การขายที่ล้ำสมัยและแตกต่างอย่างแท้จริง
พร้อมก้าวสู่ Headless Commerce หรือยัง?
ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเป็นองค์กรที่มีระบบโครงสร้างพร้อมอยู่แล้ว หรือกำลังอยู่ในช่วงเริ่มสร้างพื้นฐาน หากคุณพบว่าธุรกิจเข้ากับหลายข้อในตัวอย่างข้างต้น แนวทาง Headless Commerce อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับคุณ
ในทำนองเดียวกัน หากการดำเนินธุรกิจของคุณกำลังซับซ้อนมากขึ้นและคุณต้องการสร้างความแตกต่างโดยการแข่งขันด้วยประสบการณ์มากกว่าราคา ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าธุรกิจของคุณพร้อมก้าวเข้าสู่โลกของ Headless Commerce แล้ว
ปลดล็อกอิสระในการออกแบบเต็มรูปแบบด้วย Headless Commerce และ Shopify
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Headless commerce
แนวทาง headless คืออะไร?
แนวทาง headless เกี่ยวข้องกับการแยก front end และ back end ของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ เพื่อให้สามารถพัฒนาและปรับแต่งอย่างรวดเร็วในแต่ละด้าน เมื่อทั้งสองส่วนไม่ต้องพัฒนาไปพร้อมกันเหมือนระบบแบบดั้งเดิม full-stack ธุรกิจจึงสามารถปรับดีไซน์หรือเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ ได้รวดเร็วกว่าเดิม โดยไม่กระทบกับระบบหลัก เหมาะกับแบรนด์ที่ต้องการความยืดหยุ่นและอยากสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่แตกต่าง
Shopify ถือเป็น Headless CMS หรือไม่?
Shopify เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแบบ headless ผู้ค้าสามารถใช้แอปภายนอกเพื่อสร้างชั้นการนำเสนอ front-end และดึงข้อมูลจาก Shopify ผ่าน GraphQL Storefront API โดยยังช่วยให้คุณออกแบบและนำไปใช้กระบวนการชำระเงินของคุณเอง รวมถึงสร้างตะกร้าที่ปลดล็อกฟีเจอร์เจ๋งๆ เช่น ยอดรวมโดยประมาณพร้อมภาษี อากร และส่วนลด
จะเริ่มใช้ Headless commerce ยังไง?
- ตัดสินใจว่าคุณต้องการเก็บหรือเปลี่ยนแพลตฟอร์มการค้าของคุณ
- เลือก Headless CMS
- เชื่อมต่อ CMS และ API ของคุณ
- พิจารณาต้นทุนและเวลา
Headless commerce มีลักษณะการทำงานยังไง?
Headless commerce เป็นระบบโครงสร้างอีคอมเมิร์ซที่แยกประสบการณ์ออกจากการดำเนินงาน โดย Headless commerce มักถูกเรียกว่า "API-first" เพราะ front และ back-end สื่อสารกันผ่านชั้น API


