eCommerce API ได้กลายมาเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างมากในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ทุกวันนี้ผู้ประกอบการกำลังสร้างประสบการณ์ระดับโลกด้วยเทคโนโลยีชั้นนำและความสามารถด้านการค้าผ่าน eCommerce API ในทุกระดับ
นี่คือสิ่งที่เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับทีมพัฒนาขึ้นไปอีกระดับ เพื่อสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ตอบโจทย์ความต้องการของแบรนด์ในปัจจุบัน และสามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความต้องการในอนาคตได้ โดยเราจะอธิบายเกี่ยวกับ eCommerce API ประเภทต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงประโยชน์ของการใช้ และกรณีการใช้งานที่น่าสนใจที่สุดที่คุณควรลองนำไปใช้
eCommerce API คืออะไร?
API ย่อมาจาก Application Programming Interface หรืออินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน ซึ่ง Red Hat อธิบายว่าเป็นชุดคำจำกัดความและโปรโตคอลสำหรับการสร้างและผสานการทำงานซอฟต์แวร์แอปพลิเคชัน โดย eCommerce API เป็นส่วนย่อยของ API ที่อำนวยความสะดวกในการสื่อสารและการผสานการทำงานระหว่างแอปพลิเคชันหรือบริการอีคอมเมิร์ซต่างๆ โดยไม่ต้องเข้าถึงซอร์สโค้ดโดยตรง
API ได้กลายเป็นส่วนสำคัญในการสร้างแพลตฟอร์มโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ที่สามารถขยายและทำงานร่วมกันได้ ปัจจุบัน API ถือเป็นสิ่งที่ต้องมี โดยนักพัฒนาซอฟต์ต่างก็ต้องการให้ API มีความพร้อมใช้งาน ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาสามารถใช้ฟังก์ชันที่มีอยู่เดิมได้โดยไม่ต้องสร้างใหม่ตั้งแต่ต้น
ลักษณะการทำงานของ eCommerce API เป็นอย่างไร
eCommerce API จะเหมือนกับ API ส่วนใหญ่ ก็คือจะมีให้ใช้งานผ่านเอกสาร เข้าถึงได้ผ่านการเรียกใช้ API และรักษาความปลอดภัยผ่านโทเค็นการเข้าถึง ตัวอย่างเช่น Shopify ที่โฮสต์เอกสาร API ในเอกสารที่เปิดให้เข้าถึงแบบสาธารณะเช่นเดียวกับบริษัทอย่าง Instagram และ Spotify
เอกสาร API ค่อนข้างมีความเป็นมาตรฐานและโดยทั่วไปจะอธิบายว่านักพัฒนาควรเชื่อมต่ออย่างไร โดยนักพัฒนาสามารถทำการขอใช้ได้อย่างไร และควรถ่ายโอนข้อมูลอย่างไร ทั้งนี้ API มีหลายรูปแบบ แต่รูปแบบที่พบบ่อยที่สุดสำหรับอีคอมเมิร์ซคือ REST (Representational State Transfer) และ GraphQL
ถึงแม้ API ส่วนใหญ่จะมีให้ใช้งานผ่านเอกสาร แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่จะเป็นแบบสาธารณะ โดยหลายบริษัทเก็บข้อมูล API ไว้ในเอกสารภายในเพื่อให้มีเพียงนักพัฒนาที่ได้รับอนุมัติเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงและใช้งานได้
บริษัทอื่นๆ มุ่งเน้นการเปิดเผย API เพื่อให้นักพัฒนาฝ่ายแรกและนักพัฒนาจากภายนอกสามารถเข้าถึงและสร้างด้วย API เหล่านั้นได้ บริษัทอื่นๆ อาจเก็บ API ส่วนใหญ่ไว้เป็นความลับ แต่จำกัดการเข้าถึงจากภายนอกผ่านโปรแกรมทดสอบเบต้าและความร่วมมือพิเศษ
แนวทางแรกคือการมุ่งเน้นการเปิดเผย API สู่สาธารณะให้มากที่สุด ซึ่งมักจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ดังที่ Eric Paley หุ้นส่วนผู้จัดการที่ Founder Collective ซึ่งอธิบายแพลตฟอร์มที่แยกตัวเองออกจากโมเดลอื่นๆ ด้วยการเสนอ "ความสามารถสำหรับผู้อื่นในการสร้างผลิตภัณฑ์และสร้างรายได้บนพื้นฐานนั้น โดยมักจะมาในรูปแบบที่ผู้สร้างแพลตฟอร์มไม่เคยจินตนาการมาก่อน" โดยที่ Paley ยังคงทิ้งท้ายว่า "API ไม่ได้สร้างแพลตฟอร์ม"
ด้วยเหตุนี้ API จึงมีความสำคัญต่อแพลตฟอร์มต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ซึ่งแตกต่างจากธุรกิจประเภทอื่นๆ เช่นเดียวกับที่ Amazon แยกตัวเองออกเป็นเครือข่ายทีมเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกันด้วยอินเทอร์เฟซแยกจากกัน แพลตฟอร์มที่ดีที่สุดได้สร้างบริการหลักขึ้นมา และเปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถสร้างบริการใหม่ๆ ต่อยอดจากฟังก์ชันเดิมได้ผ่าน API
ประเภทของ eCommerce API
Shopify มี API มากมายให้นักพัฒนาได้ใช้สร้างโซลูชันอีคอมเมิร์ซ และนี่คือ 3 หมวดหมู่หลักของ API ที่เรามี
- Core Commerce API: API เหล่านี้ช่วยนักพัฒนาประกอบและสร้างส่วนสำคัญของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เช่น แค็ตตาล็อกผลิตภัณฑ์ ส่วนลด รวมถึงมีฟีเจอร์การชำระเงินและมาร์เก็ตเพลสด้วย
- Data & Compliance API: API เหล่านี้มีฟีเจอร์การวิเคราะห์ข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของลูกค้า ทำให้บริษัทที่ใช้แพลตฟอร์ม Shopify ใช้ข้อมูลได้ง่ายขึ้นไปพร้อมกับการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความเป็นส่วนตัวและการปฏิบัติตามกฎหมาย
- Shipping & Logistics API: API เหล่านี้มีฟีเจอร์การจัดส่งและการจัดการสินค้าคงคลัง ช่วยให้นักพัฒนาเสริมสร้างรากฐานของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
และยังมี API อีกมากมายในแต่ละหมวดหมู่ แต่การจำ 3 หมวดหมู่นี้ไว้จะช่วยแสดงให้เห็นว่า API สามารถทำอะไรได้บ้างและบ่งชี้ถึงประเภทของฟีเจอร์ที่มี
ประโยชน์ของการใช้ eCommerce API
eCommerce API มีประโยชน์หลายอย่าง ทั้งหมดเกิดจากความสามารถในการปรับขนาดของ eCommerce API
รวมถึงความสามารถในการขยายตัวด้วย โดยสรุปก็คือกระบวนการของระบบหรือซอฟต์แวร์ที่สามารถสร้าง เพิ่ม และปรับปรุงความสามารถได้อย่างง่ายดายในระดับใหญ่ขึ้น นี่ประโยชน์สำคัญที่ควรรู้
- ความปลอดภัย: หนึ่งในฟังก์ชันหลักแต่คนมักมองข้ามของธุรกิจอีคอมเมิร์ซคือความสามารถในการย้ายข้อมูลไปมาระหว่างลูกค้า ซัพพลายเออร์ และพาร์ทเนอร์จัดส่ง ท่ามกลางการสื่อสารขนาดใหญ่เหล่านี้ ลูกค้ากำลังทำการร้องขอข้อมูลขนาดเล็กจำนวนมาก ด้วยข้อมูลทั้งหมดที่กลับไปมา eCommerce API มักเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการการรับส่งข้อมูล เพราะผู้ใช้สามารถร้องขอข้อมูลได้อย่างอิสระ และบริษัทสามารถพึ่งพาเทคนิคการเข้ารหัสเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลนั้นได้
- ความสามารถในการขยาย: แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซมักจะเริ่มประสบปัญหาจากความสำเร็จ หากสินค้ากลายเป็นไวรัลหรืออินฟลูเอนเซอร์โปรโมตแบรนด์ของคุณ ผู้ใช้จำนวนมากสามารถแห่กันเข้ามาที่ร้านค้าของคุณโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้น คุณก็คงไม่ต้องการให้ร้านค้าล่มและทำให้ผู้ใช้ใหม่เหล่านั้นผิดหวัง (ยิ่งไปกว่านั้นคือทำให้พวกเขาเลิกซื้อ) การใช้ API จะทำให้คุณสามารถให้นักพัฒนามุ่งเน้นการสร้างและรักษาฟีเจอร์ใหม่แทนที่จะต้องดึงพวกเขาออกจากงานนั้นเพื่อต่อสู้กับความต้องการที่เพิ่มขึ้น และด้วย eCommerce API คุณสามารถเพิ่มคอมโพเนนต์ใหม่โดยไม่เปลี่ยนสถาปัตยกรรมพื้นฐานและไม่ต้องคิดเรื่องแนวทางการขยายตัวเลย
- การใช้ซ้ำ: ด้วย eCommerce API นักพัฒนาสามารถนำโค้ดที่มีอยู่มาใช้ซ้ำเพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ในวิธีที่เร็วและถูกกว่า บางครั้งโค้ดนั้นก็มาจากแหล่งภายนอก แต่นักพัฒนาที่ฉลาดจะสร้าง API ภายในด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อพวกเขาสร้างฐานข้อมูล ทุกกรณีการใช้งานฐานข้อมูลที่ตามมาก็สามารถสร้างจากพื้นฐานนั้นได้เลย
ในบรรดาประโยชน์เหล่านี้ สิ่งที่ดีที่สุดคือคุณสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ เหตุผลที่บริษัทที่ใช้ API เช่น Stripe และ Twilio ประสบความสำเร็จมากคือพวกเขาสามารถสร้างและให้บริการฟีเจอร์เหล่านั้นในเวอร์ชันที่ดีที่สุด โดยในหลายกรณี การเรียกใช้ API แทนการสร้างฟีเจอร์ตั้งแต่ต้นไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพมากกว่าเท่านั้น แต่ยังได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าด้วย
ควรใช้ eCommerce API ตอนไหน
บ่อยครั้งที่ซอฟต์แวร์ที่ดีที่สุดไม่ได้สร้างตั้งแต่ต้น ฟีเจอร์ที่สร้างความแตกต่างอาจสร้างจากพื้นฐาน แต่ส่วนที่เหลือของผลิตภัณฑ์มักมาจากปัญหาที่แก้ไขแล้ว
สำหรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นหน้าร้าน เครื่องมือจัดส่ง การติดตามพัสดุ และอื่นๆ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่คุณไม่จำเป็นต้องคิดค้นใหม่ และอย่างที่เราได้บอกไป API ที่ดีที่สุดมักมีฟีเจอร์เหล่านี้ในเวอร์ชันที่ดีที่สุด ที่สร้างโดยบริษัทที่เชี่ยวชาญในชุดฟีเจอร์นั้นๆ
สำหรับผู้ประกอบการหลายราย การจัดส่งเป็นกรณีการใช้งานที่ดีที่สุดสำหรับ eCommerce API โดยตัวเลือกที่ดีที่สุดมักจะเป็นการผสานการทำงานเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของคุณกับบัญชีผู้ให้บริการจัดส่งและนำเข้าข้อมูลของคุณสำหรับคำสั่งซื้อและการจัดส่ง
ด้วยการใช้และผสานการทำงาน API นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชันที่สามารถปรับปรุงและขยายตัวได้เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเทคโนโลยีล้ำสมัยเกิดขึ้น หรือเมื่อลูกค้าร้องขอฟีเจอร์ที่ต้องการ บริษัทสามารถใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์อีคอมเมิร์ซใหม่อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องสร้างใหม่ตั้งแต่ต้น
4 วิธีที่ธุรกิจองค์กรของคุณสามารถใช้ eCommerce API ของ Shopify ได้
Shopify สร้างด้วยแนวทางแบบโมดูลาร์ ทำให้ผู้ประกอบการสามารถตั้งค่าร้านค้าได้ง่าย และนักพัฒนาสามารถสร้างแอปและโซลูชันที่กำหนดเองได้โดยใช้ API เพื่อขยายแพลตฟอร์ม
Shopify มีฟีเจอร์แบบ Plug-and-Play ที่ผู้ประกอบการสามารถใช้เพื่อปรับแต่งร้านค้า ปรับปรุงประสบการณ์การช็อปปิ้ง และยกระดับความพยายามทางการตลาด งานส่วนใหญ่นี้ขับเคลื่อนด้วย API
Shopify มี API Endpoint ทั้งหมดที่คุณต้องการเพื่อรวมระบบฝ่ายแรกและบุคคลที่สามใหม่และที่มีอยู่ เพื่อให้คุณสามารถขยายฟังก์ชันของแพลตฟอร์มการค้าหลักของ Shopify สำหรับองค์กร API หลัก 4 ตัว ได้แก่ Admin API, Functions API, Storefront Edge API และ B2B API
1. Order, Product และ Customer API
Shopify มี API หลายตัวเพื่อให้ผู้ประกอบการในทุกอุตสาหกรรมจัดการคำสั่งซื้อ สินค้าคงคลัง และข้อมูลลูกค้า โดยผู้ประกอบการ B2B ที่บริหารจัดการผู้ติดต่อและสถานที่หลายแห่งและเงื่อนไขการชำระเงินที่เจรจาล่วงหน้าสามารถใช้ชุด GraphQL API ของ Shopify ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยจัดการเป้าหมายที่มีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเหล่านี้
Admin API ของ Shopify ช่วยให้นักพัฒนาเพิ่มฟีเจอร์ของตนเองและสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ Shopify ของตนเอง และสนับสนุนธุรกิจองค์กรในการจัดการการดำเนินงานแบ็กออฟฟิศในระดับใหญ่ โดย API เหล่านี้เป็นวิธีหลักที่แอปองค์กรและระบบแบ็กเอนด์ของคุณโต้ตอบ รวบรวม และจัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับร้าน Shopify ของคุณ
ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) ซึ่งมีกระบวนการด้านการเงิน การผลิต ห่วงโซ่อุปทาน การขาย และการจัดซื้อ มีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กรส่วนใหญ่มาอย่างยาวนาน Admin API ของเราออกแบบมาเพื่อผสานการทำงานกับ ERP ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอย่างราบรื่น ซึ่งช่วยให้องค์กรจัดการการดำเนินงานทางธุรกิจที่ซับซ้อนบน Shopify ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. Shopify Functions และ API
Shopify Functions เป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่ให้นักพัฒนาขยายหรือแทนที่ส่วนสำคัญของตรรกะแบ็กเอนด์ของ Shopify ด้วยตรรกะที่กำหนดเอง เพื่อให้พวกเขาสามารถสร้างประสบการณ์การค้าที่เป็นเอกลักษณ์ โดย Functions มีชุด API สำหรับปรับแต่งตรรกะแบ็กเอนด์ของ Shopify เพื่อสร้างทุกอย่างตั้งแต่กฎการตรวจสอบการชำระเงินไปจนถึงบันเดิลผลิตภัณฑ์ที่แสดงในเช็คเอาต์
- Delivery Customization API: เปลี่ยนชื่อ จัดเรียงใหม่ และเรียงลำดับตัวเลือกการจัดส่งที่มีให้ผู้ซื้อระหว่างเช็คเอาต์
- Order Discount API: สร้างประเภทส่วนลดใหม่ที่ใช้กับสินค้าทั้งหมดในตะกร้า
- Product Discount API: สร้างประเภทส่วนลดใหม่ที่ใช้กับผลิตภัณฑ์หรือตัวแปรผลิตภัณฑ์เฉพาะในตะกร้า
- Payment Customization API: เปลี่ยนชื่อ จัดเรียงใหม่ และเรียงลำดับวิธีการชำระเงินที่มีให้ผู้ซื้อระหว่างเช็คเอาต์
หนึ่งในประโยชน์สำคัญคือองค์กรไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดการเซิร์ฟเวอร์ของตนเองสำหรับตรรกะที่กำหนดเองเหล่านี้ เนื่องจาก Shopify จะดูแลการจัดการและขยายตัวให้เอง
3. Storefront API
นักพัฒนาและผู้ประกอบการใช้ประโยชน์จากชุดเครื่องมือพัฒนาแบบ Headless ของ Shopify เพื่อสร้างประสบการณ์ที่กำหนดเองระดับโลกในเวลาที่น้อยลงด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า รากฐานของโซลูชัน Headless ของ Shopify คือ Storefront API ซึ่งให้คุณเข้าถึงความสามารถด้านการค้าที่สำคัญสำหรับการสร้างประสบการณ์ผู้ซื้อที่ปรับแต่งได้มากและมีความเกี่ยวข้อง
Storefront API ไม่ขึ้นกับอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสร้างประสบการณ์ผู้ซื้อที่เป็นเอกลักษณ์ในหลากหลายรูปแบบบนเว็บ, แอปมือถือ, วิดีโอเกม, AR/VR และเสียง รวมถึงแอปสาธารณะ/ช่องทางการขาย นอกจากนี้ยังถูกปรับใช้กับ Edge และให้บริการคำขอที่ถูกต้องทั้งหมดจากไคลเอนต์ส่วนตัวและสาธารณะโดยไม่มีขีดจำกัดอัตรา ซึ่งช่วยให้คุณส่งมอบประสบการณ์ระดับโลกให้กับลูกค้าได้ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหน
4. Checkout API
ผู้ประกอบการใช้เช็คเอาต์ Shopify เพื่อรับคำสั่งซื้อและรับการชำระเงินทุกที่ที่พวกเขาขายออนไลน์ เราจัดการการชำระเงินเฉลี่ย 40,000 ครั้งต่อนาที/ร้าน และประมวลผลคำสั่งซื้อกว่า 5,500 ล้านรายการ ด้วยความไว้วางใจจากแบรนด์ใหญ่ที่สุดและผู้ขายแฟลชในโลก โดยแพลตฟอร์มเช็คเอาต์ของ Shopify ได้รับการทดสอบจากเราและพร้อมใช้งานในระดับองค์กร
นักพัฒนาสามารถสร้างแอปโดยใช้ชุด API เพื่อขยายและเสริมเช็คเอาต์ Shopify ด้วยความสามารถใหม่ๆ ได้
- Checkout UI Extensions: เพิ่ม UI หรือเนื้อหาที่กำหนดเองในกระบวนการเช็คเอาต์และหน้าสถานะคำสั่งซื้อ
- Branding API: ปรับแต่งรูปลักษณ์และความรู้สึกของเช็คเอาต์
- Shopify Functions API: ขยายหรือแทนที่ส่วนสำคัญของแบ็กเอนด์ Shopify ด้วยตรรกะที่กำหนดเอง
- Web Pixel App Extensions: ติดตามพฤติกรรมลูกค้า
eCommerce API กับบทบาทการเชื่อมทุกฝ่ายเข้าหากัน เพื่อการค้าที่ดีกว่า
ภารกิจของ Shopify คือการทำให้การค้าขายดีขึ้นสำหรับทุกคน การค้าขายมีความซับซ้อนและเต็มไปด้วยข้อยกเว้นมากมาย และเนื่องจากสิ่งเหล่านี้ไม่เคยหยุดพัฒนา ความซับซ้อนดังกล่าวจึงไม่สามารถจับต้องและแก้ไขได้ด้วยโซลูชันเดียว
Shopify มีแพลตฟอร์มที่ปรับขยายได้สำหรับสินค้าและบริการของเรา ซึ่งผู้ค้าและพันธมิตรสามารถใช้งานได้ ช่วยให้สามารถปรับแต่งฟีเจอร์ของ Shopify ให้ตรงกับความต้องการได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย และแพลตฟอร์มนี้ยังมี API สำหรับนักพัฒนา ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาจากภายนอกสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าผ่านโค้ดได้ ด้วยความสามารถในการขยายได้ในระดับนี้ แม้แต่องค์กรที่มีความซับซ้อนมากที่สุดก็สามารถใช้ Shopify เพื่อสร้างแอปพลิเคชันที่รวดเร็วและเชื่อถือได้ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภาษาโปรแกรมและเฟรมเวิร์กที่ทีมวิศวกรของพวกเขารู้จักและใช้งานอยู่แล้ว
เป้าหมายของเราคือการพัฒนาโซลูชันสำหรับปัญหาหลักที่บริษัทการค้าหลายแห่งเผชิญ และจัดการกับรูปแบบทั่วไปที่ท้าทายบริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรม ซึ่งนอกเหนือจากปัญหาหลักนี้แล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไขทุกความท้าทายหรือกรณีการใช้งาน ซึ่ง Shopify เองก็มีแพลตฟอร์มที่ปรับขยายได้สำหรับนักพัฒนาจากภายนอก เพื่อให้ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในภารกิจที่จะทำให้การค้าขายดีขึ้นสำหรับทุกคน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Ecommerce API
eCommerce API คืออะไร?
eCommerce API (Application Programming Interface) คือระบบที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์สามารถเชื่อมต่อและสื่อสารกับซอฟต์แวร์อื่น ๆ ได้อย่างอัตโนมัติ เช่น ระบบคลังสินค้า ระบบขนส่ง หรือแอปด้านการตลาด โดย Ecommerce API จะเป็นตัวกำหนดวิธีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน เพื่อให้การทำงานของร้านค้าราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
eCommerce API ไหนดีที่สุด?
ไม่มี Ecommerce API ตัวใดที่ดีที่สุดแบบตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับเป้าหมายของแต่ละธุรกิจ
- หากต้องการสร้างเว็บไซต์แบบกำหนดเอง Storefront API เหมาะที่สุด
- แต่ถ้าต้องการจัดการสินค้าและคำสั่งซื้อในฝั่งหลังบ้าน Admin API คือเครื่องมือที่ตอบโจทย์ที่สุด
Shopify eCommerce API ใช้ฟรีหรือไม่?
ใช่ นักพัฒนาสามารถเข้าถึงและใช้งาน Shopify Ecommerce API ได้ฟรี Shopify มีเครื่องมือและการเข้าถึง API ที่ครบครันสำหรับการสร้างแอปหรือระบบเชื่อมต่อแบบเฉพาะโดยไม่คิดค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
eCommerce API มีค่าใช้จ่ายเท่าไร?
โดยทั่วไปแล้ว Ecommerce API ไม่มีค่าธรรมเนียมในการเข้าถึงโดยตรง แต่ต้นทุนมักเกิดจากค่าแรงในการพัฒนาและดูแลระบบเชื่อมต่อ นอกจากนี้อาจมีค่าบริการรายเดือนของซอฟต์แวร์ที่เชื่อมต่อ หรือค่าธรรมเนียมตามการใช้งานจริงจากผู้ให้บริการ API รายอื่น


