การจัดส่งสินค้าของคุณอาจทำให้ลูกค้าพอใจหรือไม่พอใจก็ได้เช่นเดียวกับสินค้าที่คุณขาย ถึงแม้คุณอยากสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าด้วยการจัดส่งที่รวดเร็วและราคาไม่แพง แต่ต้นทุนการจัดส่งอาจทำให้คุณได้กำไรน้อยลงหากคุณต้องแบกรับต้นทุนค่าส่งสินค้า หรือเป็นอุปสรรคต่อการซื้อหากลูกค้าต้องจ่ายตรงนี้ การหาจุดสมดุลที่เหมาะสมคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ
เราจะช่วยคุณกำหนดนโยบายการจัดส่งที่เหมาะสมทั้งกับธุรกิจและลูกค้าของคุณ ด้วยการวางแผนล่วงหน้าและการสื่อสารที่ชัดเจน คุณสามารถจัดการต้นทุนค่าส่งสินค้าควบคู่ไปกับการสร้างประสบการณ์หลังการซื้อที่น่าประทับใจ ถึงแม้ว่าคำสั่งซื้อจะอยู่นอกเหนือการควบคุมของคุณก็ตาม
วิธีคิดค่าส่งสินค้า
มีปัจจัยสำคัญหลายอย่างที่ส่งผลต่อค่าส่งสินค้าสำหรับร้านค้าออนไลน์ การทำความเข้าใจปัจจัยแต่ละตัวจะช่วยให้คุณตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์การจัดส่งได้อย่างชาญฉลาด
ความเร็วในการส่งสินค้า
แน่นอนว่าเราอยากส่งสินค้าให้ถึงลูกค้าอย่างรวดเร็วทันใจ แต่การจัดส่งที่รวดเร็วนั้นมีค่าใช้จ่ายสูง ยิ่งส่งเร็วเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ตรงนี้จะมีผลต่อกำไรของคุณหากคุณต้องแบกรับค่าส่งสินค้า
มูลค่าของหีบห่อสินค้า
เมื่อคุณจัดส่งสินค้าที่มีมูลค่าสูง คุณจะต้องมีการรับประกันเพื่อป้องกันการสูญหาย โดนขโมย หรือความเสียหายต่อสินค้า เพราะยังไงคุณก็คงไม่อยากให้ลูกค้าต้องหัวเสียและไม่พอใจเนื่องจากอุบัติเหตุในการขนส่ง
ระยะทางของการส่งสินค้า
ยิ่งสินค้าของคุณเดินทางไกลเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งต้องจ่ายค่าขนส่งมากขึ้นเท่านั้น เมื่อรวมระยะทางเข้ากับการจัดส่งที่รวดเร็วก็ยิ่งทำให้มีราคาแพงขึ้นไปอีก การจัดส่งข้ามคืนข้ามประเทศมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการจัดส่งภายในประเทศจากศูนย์กระจายสินค้าใกล้เคียงมาก
น้ำหนักพัสดุ
วิธีคิดค่าส่งสินค้าที่สำคัญคือยิ่งพัสดุมีน้ำหนักมาก ต้นทุนการจัดส่งก็ยิ่งสูงขึ้น เนื่องจากผู้ให้บริการขนส่งมีข้อจำกัดเรื่องน้ำหนักรถที่ต้องพิจารณาด้วย โดยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทุกกิโลกรัมจะส่งผลต่อราคาสุดท้ายที่ต้องจ่าย
ขนาดพัสดุ
ขนาดของพัสดุนั้นเป็นิส่งสำคัญต่อวิธีคิดค่าส่งสินค้า ผู้ให้บริการขนส่งจะใช้ราคาตามน้ำหนักจริงสำหรับพัสดุขนาดใหญ่ เนื่องจากพัสดุขนาดใหญ่จะใช้พื้นที่ในรถขนส่งมากกว่า โดยพัสดุที่มีน้ำหนักเบาแต่มีขนาดใหญ่อาจมีราคาสูงกว่าที่คิด
ค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
โลกของโลจิสติกส์เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ตั้งแต่การปิดถนนกะทันหัน ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไปจนถึงการประท้วงหยุดงานของคนงาน หรือภาษีที่ไม่คาดคิด การจัดสรรงบประมาณสำรองไว้ในงบประมาณการขนส่งจะช่วยให้คุณรับมือกับต้นทุนที่ไม่คาดคิดได้อย่างสบายใจ
นอกจากนี้ยังมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมที่ควรพิจารณา ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสถานที่ที่คุณจัดส่ง หากคุณจัดส่งเฉพาะภายในประเทศไทย คุณจะไม่ต้องกังวลเรื่องค่าธรรมเนียมเลย
คู่มือ Shopify ด้านการจัดส่งและการจัดการออเดอร์
ยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า พร้อมกระตุ้นยอดขายให้เติบโตด้วยกลยุทธ์การจัดส่งและการจัดการออเดอร์ที่มีประสิทธิภาพ คู่มือนี้จะช่วยวางแผนครอบคลุมทุกด้าน ตั้งแต่การกำหนดค่าจัดส่ง ไปจนถึงการเลือกวิธีจัดการออเดอร์ที่เหมาะกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
ดาวน์โหลดเลย แล้วเริ่มปรับการทำงานของร้านให้อัจฉริยะยิ่งขึ้น
วิธีคิดค่าส่งสินค้าด้วย Shopify Shipping (เฉพาะในอเมริกา)
สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา การคำนวณค่าจัดส่งนั้นมีอยู่ในร้าน Shopify ของคุณตั้งแต่แรก ตรงนี้เป็นหนึ่งในข้อได้เปรียบที่สุดของแพลตฟอร์ม เพราะทุกสิ่งที่คุณต้องการตั้งแต่การพิมพ์สติกเกอร์จัดส่ง จัดการสต็อก ออกใบเสร็จ รายละเอียดลูกค้า ไปจนถึงการจัดการสินค้า ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในที่เดียว
คุณสามารถปรับแต่งตัวเลือกการจัดส่งให้ตรงกับความต้องการธุรกิจได้ เช่น บริการจัดส่งฟรี อัตราเหมาจ่าย หรืออัตราที่คำนวณตามระยะทาง ถ้าฐานลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ใกล้ร้าน คุณก็สามารถตั้งค่าการจัดส่งภายในพื้นที่บริการ หรือให้ลูกค้ามารับสินค้าเองที่หน้าร้านได้
ถ้าไม่มีเวลามานั่งตั้งค่ารายละเอียดเอง Shopify Shipping ช่วยจัดการให้ครบ และนี่คือสิ่งที่คุณจะได้รับ
- ส่วนลดค่าจัดส่งสูงสุดกับ USPS, UPS และ DHL ถึง 88%
- ซื้อและพิมพ์สติกเกอร์จัดส่งในระบบ ไม่ต้องมีอุปกรณ์พิเศษ
- ฟรีประกันจัดส่งมูลค่า 7,200 บาท (ประมาณ $200) ครอบคลุมความเสียหาย สูญหาย หรือถูกขโมย
- ฟีเจอร์ประหยัดเวลา เช่น จัดการออเดอร์แบบล็อตใหญ่ เอกสาร scan form และบริการนัดรับพัสดุจากขนส่ง
- ระบบติดตามพัสดุแบบเรียลไทม์ให้ลูกค้าเช็กสถานะได้ทันที
- บิลเดียวจบ ครอบคลุมทั้งค่าจัดส่งและค่าสมัคร Shopify
ดูตัวอย่างความสำเร็จจริง: “แค่ใช้ Shopify ซื้อบริการขนส่งแทนไปรษณีย์ทั่วไป เราก็เห็นส่วนลดเฉลี่ย 30% ต่อค่าจัดส่ง” Jenni-Lyn Williams, CEO ของ SnarkyTea เล่า “ช่วยให้เราประหยัดค่าจัดส่งได้มากกว่า 11 ล้านบาทต่อปี (ประมาณ $305,000)”
วิธีคิดค่าส่งสินค้าด้วยเครื่องคำนวณของผู้ให้บริการขนส่ง
ถ้าคุณไม่ได้ใช้ระบบจัดส่งผ่าน Shopify Shipping แต่เลือกทำงานตรงกับบริษัทขนส่งเอง ก็สามารถคำนวณค่าจัดส่งได้ง่าย ๆ ผ่านเครื่องมือออนไลน์ของผู้ให้บริการขนส่งแต่ละเจ้า
นี่คือวิธีที่คำนวณค่าจัดส่งได้จากผู้ให้บริการยอดนิยมในไทย
1. ไปรษณีย์ไทย

ไปรษณีย์ไทยมีระบบคิดค่าส่งสินค้าออนไลน์ แค่กรอกน้ำหนักพัสดุและปลายทาง ก็จะเห็นค่าใช้บริการตามประเภทที่เลือก เช่น EMS, ลงทะเบียน หรือพัสดุธรรมดา เหมาะกับร้านที่ต้องการคำนวณต้นทุนเบื้องต้นอย่างแม่นยำ
2.Kerry Express

วิธีคิดค่าส่งสินค้ากับ Kerry คือการใช้เครื่องมือคำนวณค่าจัดส่งที่ใช้งานง่าย เพียงเลือกขนาดกล่องและปลายทาง ระบบจะโชว์ค่าจัดส่งแบบด่วน (Next day) ซึ่งเป็นบริการหลักของ Kerry เหมาะสำหรับผู้ขายที่ต้องการความรวดเร็วและมีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ
3.Flash Express

Flash ให้บริการคำนวณค่าจัดส่งผ่านเว็บไซต์และแอปมือถือ แค่กรอกน้ำหนักและปลายทาง ก็จะเห็นค่าใช้จ่ายทันที จุดเด่นคือราคาที่ค่อนข้างถูก และมักมีโปรโมชันส่งฟรีหรือส่วนลดสำหรับผู้ขายออนไลน์
4.J&T Express

J&T มีระบบคำนวณค่าจัดส่งที่คล้าย Flash กรอกข้อมูลพัสดุแล้วเลือกประเภทบริการได้ทันที ค่าบริการค่อนข้างแข่งขันได้ และมีการเก็บเงินปลายทาง (COD) ที่เป็นที่นิยมสำหรับผู้ซื้อ
เลือกตัวเลือกการจัดส่ง
ฟรีค่าจัดส่ง
งานวิจัยจาก Baymard Institute พบว่าลูกค้ากว่า 70% ทิ้งตะกร้าสินค้ากลางคัน และสาเหตุหลักมาจากค่าจัดส่งและภาษี การเสนอจัดส่งฟรีช่วยลดโอกาสที่ลูกค้าจะละทิ้งตะกร้าได้ คุณอาจตั้งยอดสั่งซื้อขั้นต่ำเพื่อให้ได้สิทธิ์จัดส่งฟรี ซึ่งช่วยทั้งลดต้นทุนและกระตุ้นยอดสั่งที่มากขึ้น

อัตราจัดส่งเรียลไทม์
ด้วย Shopify Shipping คุณสามารถแสดงอัตราจัดส่งสดจากผู้ให้บริการ เช่น USPS, Canada Post และ UPS ลูกค้าจึงเลือกความเร็วในการจัดส่งได้ พร้อมเห็นต้นทุนจริงตามออเดอร์
การแสดงราคาจัดส่งแบบเรียลไทม์ช่วยคุณประหยัดได้ เพราะบางครั้งค่าจัดส่งจริงถูกกว่าการคิดแบบเหมาจ่าย อีกทั้งลูกค้าที่ต้องการจัดส่งด่วนก็เลือกและจ่ายเพิ่มได้เองอย่างสะดวก
จัดส่งแบบเหมาจ่าย
เหมาะสำหรับกรณีที่คุณ:
- ขายสินค้าที่มีขนาดและน้ำหนักใกล้เคียงกัน
- มีสินค้าเพียงไลน์เดียว
- ต้องการทำระบบจัดส่งให้เรียบง่าย
แต่ถ้าขายสินค้าหลายขนาดและน้ำหนักต่างกัน อาจทำให้การคิดราคาเหมาจ่ายซับซ้อน ควรตรวจสอบให้มั่นใจว่าอัตราเหมาจ่ายของคุณไม่ทำให้ลูกค้าถูกคิดเกินจริงหรือน้อยเกินไป
จัดส่งในพื้นที่
การจัดส่งในพื้นที่ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็ก โดยเฉพาะร้านที่มีหน้าร้านจริง ได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น:
- เสนอจัดส่งวันถัดไปภายในพื้นที่ใกล้เคียง ด้วยทีมงานเองหรือใช้ผู้ให้บริการท้องถิ่น
- สร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลูกค้าในพื้นที่
- เสนอจัดส่งฟรีหรือค่าจัดส่งต่ำเมื่อมียอดสั่งขั้นต่ำ (แต่อย่าลืมว่าผู้ให้บริการท้องถิ่นบางราย เช่น Uber Eats มักหักเปอร์เซ็นต์จากกำไรของคุณ)
ตั้งค่าการจัดส่งในพื้นที่โดยสร้างรัศมีรอบร้านหรือเลือกเฉพาะรหัสไปรษณีย์ที่ต้องการ ลูกค้าในพื้นที่ที่คุณกำหนดจะเห็นตัวเลือกนี้ตอนชำระเงิน
สร้างหน้านโยบายการจัดส่ง
หน้านโยบายการจัดส่งหรือ FAQ จะช่วยให้ลูกค้าได้คำตอบอย่างรวดเร็ว และตัดสินใจซื้ออย่างมั่นใจ งานวิจัยจาก UPS ระบุว่าลูกค้าออนไลน์ 68% ตรวจดูนโยบายการจัดส่งก่อนซื้อจริง
สร้างเพจใหม่ในร้านและใส่ไว้ในเมนูด้านล่าง โดยควรระบุข้อมูลให้ชัดเจน เช่น
- การติดตามออเดอร์
- ตัวเลือกการจัดส่งและระยะเวลา
- ขั้นตอนการคืนและการคืนเงิน
- การจัดส่งต่างประเทศและภาษีศุลกากร
- ขั้นตอนกรณีพัสดุสูญหายหรือเสียหาย
แม้รายละเอียดจะขึ้นอยู่กับธุรกิจและสินค้า แต่การมีข้อมูลเหล่านี้พร้อมช่วยลดคำถามซ้ำๆ จากลูกค้าได้มาก
คำถามการจัดส่งที่พบบ่อย
เพจการจัดส่งที่ชัดเจนช่วยให้ลูกค้าได้คำตอบเร็วขึ้น คำถามที่พบบ่อย เช่น
เราจะติดตามออเดอร์ได้อย่างไร?
หลังจากสั่งซื้อ สิ่งที่ลูกค้ากังวลที่สุดคือ “ออเดอร์จะมาถึงเมื่อไหร่” การให้ข้อมูลติดตามที่ชัดเจนช่วยลดคำถามติดตามจากลูกค้าที่รออยู่
ทำให้การติดตามง่ายขึ้นโดย
- เพิ่มหมายเลขติดตามในทุกออเดอร์ที่จัดส่ง
- เสนอ ePacket tracking ให้ลูกค้าเช็กสถานะเองได้
- แสดงรายละเอียดติดตามในที่ที่ลูกค้าดูบ่อยที่สุด เช่น อีเมลยืนยันการสั่งซื้อ และหน้า Order Status
จำไว้ว่าลูกค้าที่ส่งข้อความถามเรื่องการติดตาม มักจะรู้สึกไม่มั่นใจในการสั่งซื้อ การตอบกลับที่รวดเร็วและเป็นมิตรช่วยเปลี่ยนความกังวลเป็นความมั่นใจได้
เคล็ดลับ: ถ้าใช้ Shopify Shipping ในสหรัฐฯ หรือแคนาดา การติดตามพัสดุจะรวมมากับผู้ให้บริการส่วนใหญ่โดยอัตโนมัติ เมื่อคุณซื้อสติกเกอร์จัดส่ง ลูกค้าจะได้รับหมายเลขติดตามทางอีเมลทันที
จะคืนหรือขอเงินคืนออเดอร์ได้อย่างไร?
การคืนสินค้าเป็นเรื่องปกติในอีคอมเมิร์ซ โดยทั่วไปประมาณ 20% ของออเดอร์ทั้งหมด และอาจเพิ่มขึ้นถึง 30% ในช่วงเทศกาล การมีนโยบายคืนสินค้าที่ชัดเจนช่วยให้ทั้งร้านและลูกค้าดำเนินการได้ราบรื่น
นโยบายการจัดส่งควรอธิบาย
- ค่าจัดส่งในการคืนสินค้า (ฟรี เหมาจ่าย หรือคิดตามจริง)
- ตัวเลือกที่มี (คืนสินค้า แลกเปลี่ยน หรือทั้งสองอย่าง)
- ขั้นตอนการคืนสินค้าแบบทีละขั้น
ผู้ให้บริการจัดส่งที่มักมีสติกเกอร์คืนสินค้า ได้แก่
- ไปรษณีย์ไทย
- Kerry Express
- Flash Express
- J&T Express
- Ninja Van
พัสดุของเรามีประกันหรือไม่?
แม้ว่าปัญหาการจัดส่ง เช่น พัสดุสูญหายหรือเสียหาย จะไม่ใช่ความผิดของร้านค้าโดยตรง แต่ร้านก็ควรมีมาตรการดูแลลูกค้า การมีประกันพัสดุช่วยสร้างความมั่นใจและปกป้องทั้งร้านและลูกค้าไปพร้อมกัน
ผู้ให้บริการจัดส่งในไทยที่มีประกันพัสดุรวมอยู่แล้ว
- ไปรษณีย์ไทย: บริการ EMS และ EMS World มีการประกันมูลค่าพัสดุเบื้องต้น หากต้องการวงเงินสูงขึ้นสามารถซื้อเพิ่มได้
- Kerry Express: มีประกันมูลค่าสินค้าเบื้องต้น และสามารถซื้อเพิ่มตามมูลค่าสินค้าที่ประกาศ
- Flash Express: มีประกันคุ้มครองพัสดุที่สูญหายหรือเสียหายในวงเงินมาตรฐาน และให้ซื้อเพิ่มได้
- J&T Express: คุ้มครองพัสดุตามมูลค่าที่ประกาศ หากต้องการเพิ่มวงเงินสามารถชำระเพิ่ม
โดยทั่วไป การเพิ่มประกันจะมีค่าใช้จ่ายเพียงไม่กี่สิบบาทต่อการประกาศมูลค่า 3,000–5,000 บาท หากเกิดปัญหา ร้านค้าสามารถยื่นเรื่องขอรับค่าสินไหมจากบริษัทขนส่งได้ตามเงื่อนไข
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าออเดอร์ส่งถึงช้า?
ถึงแม้ว่าความล่าช้าในการจัดส่งอาจเกิดขึ้นจากปัจจัยที่ร้านควบคุมไม่ได้ 100% แต่คุณสามารถวางแผนล่วงหน้าเพื่อรับมือได้อย่างราบรื่น โดยทำได้ดังนี้:
-
เลือกบริการจัดส่งที่มี SLA หรือการรับประกันความเร็ว เช่น EMS ของไปรษณีย์ไทย หรือ Kerry Express ที่การันตีส่งวันถัดไป (Next day) หากไม่สามารถส่งตามเงื่อนไข ลูกค้าสามารถยื่นเรื่องขอคืนค่าบริการได้ตามนโยบายบริษัท
-
ระบุนโยบายกรณีจัดส่งล่าช้าอย่างชัดเจน บนหน้าเว็บหรือหน้าข้อมูลการจัดส่ง เพื่อให้ลูกค้าทราบล่วงหน้าว่าร้านจะดำเนินการอย่างไร
- พิจารณามอบสิทธิชดเชย เช่น โค้ดส่วนลดสำหรับออเดอร์ถัดไป หรือเครดิตในร้านค้า ถึงแม้ความล่าช้าไม่ใช่ความผิดของร้านก็ตาม แต่การชดเชยเล็กน้อยช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความพอใจให้ลูกค้าได้
ตัวอย่าง
บางร้านค้าในไทยเลือกเขียนนโยบายชัดเจน เช่น “หากพัสดุถึงล่าช้าเนื่องจากผู้ให้บริการขนส่ง ร้านไม่สามารถคืนเงินได้ ยกเว้นกรณีที่ลูกค้าเลือกใช้บริการที่มีประกันหรือการรับประกันส่งตรงเวลา” วิธีนี้ช่วยให้ร้านโปร่งใสและป้องกันความเข้าใจผิดได้ตั้งแต่แรก
มีตัวเลือกจัดส่งแบบเร่งด่วนหรือไม่?
ในช่วงเทศกาลหรือช่วงที่ออเดอร์เยอะ ลูกค้ามักต้องการการจัดส่งที่รวดเร็วขึ้น ร้านค้าสามารถ:
- เพิ่มตัวเลือกจัดส่งด่วน เช่น Kerry Express Next Day, Flash Home Same Day หรือ Grab Express สำหรับในพื้นที่
- แสดงเวลาการจัดส่งและราคาชัดเจนในหน้านโยบายหรือขั้นตอน Checkout
- ใช้แถบประกาศ (announcement bar) บนหน้าเว็บ เพื่อบอกลูกค้าว่ามีตัวเลือกจัดส่งที่เร็วที่สุด
ถ้ามักเจอคำถามซ้ำ ๆ เรื่องเวลาส่ง ควรทำให้ข้อมูลการจัดส่งมองเห็นได้ชัด เช่น การสร้างอีเมลตอบกลับอัตโนมัติ เมื่อลูกค้าถามถึงวันที่จัดส่งที่เฉพาะเจาะจง ควรตอบตรงไปตรงมา และหาทางออกที่สมดุลระหว่างนโยบายร้านกับความต้องการลูกค้า
คุณจัดการออเดอร์ระหว่างประเทศอย่างไร?
การจัดส่งต่างประเทศช่วยเปิดโอกาสขยายตลาดใหม่ แต่ต้องเข้าใจเรื่องภาษีและศุลกากรของแต่ละประเทศ สิ่งที่ควรทำ ได้แก่:
- เริ่มส่งไปเพียงไม่กี่ประเทศที่มีศักยภาพ เช่น ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน (มาเลเซีย, เวียดนาม, สิงคโปร์) ก่อนเรียนรู้ระบบขนส่งและพิธีการ
- แสดงรายชื่อประเทศที่จัดส่งได้ และตัวเลือกการจัดส่งชัดเจนบนเว็บไซต์
- ใส่ข้อความชัดเจนว่าค่าภาษีและค่าธรรมเนียมศุลกากรเป็นความรับผิดชอบของผู้ซื้อ
- เพิ่มข้อมูลละเอียดสำหรับประเทศที่คุณจัดส่งบ่อย เช่น ระยะเวลาขนส่งโดยประมาณ หรือเงื่อนไขศุลกากร
คุณมีบริการสั่งซื้อและห่อของขวัญหรือไม่?
บริการของขวัญสามารถช่วยเพิ่มยอดขายช่วงเทศกาลได้โดยไม่ต้องพึ่งส่วนลด แม้จะใช้เวลาและทรัพยากรเพิ่ม แต่การห่อของขวัญมักช่วยเพิ่มมูลค่าเฉลี่ยต่อออเดอร์ พร้อมทำกำไรได้ถึง 50% ต่อชิ้น และยังช่วยเปลี่ยนผู้ซื้อที่กำลังมองหาของขวัญแบบครบเซ็ตให้เป็นลูกค้าได้ง่ายขึ้น
ร้านค้า Shopify สามารถเพิ่มตัวเลือกห่อของขวัญในหน้าตะกร้าสินค้า หรือใช้แอปอย่าง Gift Wrap Plus ได้
วิธีคิดค่าส่งสินค้าและลิสต์ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ค่าจัดส่งจริงมีมากกว่าค่าขนส่งของผู้ให้บริการ นี่คือสิ่งที่ควรเผื่องบไว้ด้วย:
- วัสดุสำหรับบรรจุภัณฑ์: ปกป้องสินค้าด้วยกล่องหรือซองจัดส่ง วัสดุกันกระแทก (เช่น บับเบิ้ล แพ็กกิ้งถั่ว) เทป และสติกเกอร์จัดส่ง ซื้อแบบยกลังเพื่อลดต้นทุน
- ใบแทรกในกล่อง: แม้ของสมนาคุณหรือสื่อโปรโมชั่นจะช่วยเพิ่มประสบการณ์ตอนแกะกล่อง แต่ก็มีต้นทุนการผลิตและอาจเพิ่มน้ำหนักหรือขนาดกล่อง ควรทดลองหลายๆ แบบเพื่อหาสมดุลระหว่างประสบการณ์ลูกค้าและต้นทุนการจัดส่ง
- ค่าน้ำมัน (Fuel surcharges): ผู้ให้บริการจัดส่งมักบวกค่าธรรมเนียมน้ำมันเพื่อรองรับต้นทุนที่ผันผวน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลที่มีความต้องการสูง ค่านี้มักเพิ่มขึ้น
UPS แสดงรายละเอียดการคิดค่าน้ำมัน เพื่อช่วยประเมินต้นทุนการจัดส่งในช่วงพีค
เทคนิควิธีคิดค่าส่งสินค้ารวมไว้ในราคาของ
กลยุทธ์การจัดส่งฟรี
แม้ว่าลูกค้าหลายคนจะไม่ซื้อสินค้าถ้าไม่ได้ค่าจัดส่งฟรี แต่จริงๆ แล้วค่าจัดส่งไม่ได้หายไปไหน สุดท้ายก็ต้องมีทั้งร้านค้าหรือลูกค้าที่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายนี้อยู่ดี
ตั้งเกณฑ์ยอดสั่งขั้นต่ำ
การตั้งยอดสั่งซื้อขั้นต่ำเพื่อรับสิทธิ์จัดส่งฟรีมักได้ผลดี เมื่อเห็นว่าซื้อเพิ่มอีกเล็กน้อยจะได้จัดส่งฟรี ลูกค้ามักตัดสินใจซื้อเพิ่มเพื่อเลี่ยงค่าจัดส่ง ทำให้มูลค่าออเดอร์สูงขึ้น ซึ่งช่วยชดเชยค่าจัดส่ง ถึงแม้ร้านจะยังต้องรับผิดชอบต้นทุนในออเดอร์ที่ถึงเกณฑ์แล้วก็ตาม
บวกค่าจัดส่งเข้าไปในราคาสินค้า
อีกวิธีคือรวมค่าจัดส่งไว้ในราคาสินค้าโดยตรง เช่น สินค้าราคา 580 บาท และค่าจัดส่งเฉลี่ย 110 บาท อาจบวกค่าจัดส่งเข้าไปเพียงบางส่วน ทำให้สินค้าขายที่ 615 บาท ส่วนต่างนี้ช่วยชดเชยค่าจัดส่งบางส่วน
วิธีนี้มีทั้งข้อดีและข้อควรระวัง ด้านบวกคือร้านสามารถเก็บค่าจัดส่งคืนได้คงที่ และอาจได้กำไรเพิ่มในออเดอร์ที่ลูกค้าซื้อหลายชิ้น เช่น หากสามารถส่ง 5 ชิ้นในกล่องราคาเหมาจ่าย 110 บาท แต่ได้บวกค่าจัดส่งเพิ่มชิ้นละ 35 บาท เท่ากับได้กำไรเพิ่มอีก 70 บาท
อย่างไรก็ตาม การบวกค่าจัดส่งเข้าไปในราคาสินค้า ทำให้ราคาต่อชิ้นสูงขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อยอดขายหากลูกค้าคำนึงถึงราคาเป็นหลัก อีกทั้งการทำโปรโมชั่นลดราคา เช่น ลด 20% อาจกระทบต่อส่วนที่ตั้งไว้เพื่อชดเชยค่าจัดส่ง
เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะกับโมเดลธุรกิจและความคาดหวังของลูกค้า ร้านค้าหลายแห่งที่ประสบความสำเร็จใช้วิธีผสม เช่น รวมค่าจัดส่งในสินค้าราคาต่ำ และใช้เกณฑ์ยอดขั้นต่ำสำหรับออเดอร์ที่ใหญ่กว่า
ทดสอบและปรับกลยุทธ์การจัดส่ง
วิธีคิดค่าส่งสินค้าเป็นต้นทุนแยก
การเข้าใจต้นทุนจริงช่วยให้คุณหาช่องทางประหยัดได้ ลองทบทวนต้นทุนการจัดส่งจาก
- ระยะทางการจัดส่ง: บางครั้งการย้ายสต็อกสินค้าไปยังศูนย์กระจายสินค้าใกล้ลูกค้า ช่วยลดทั้งค่าใช้จ่ายและการปล่อยคาร์บอน
- ขนาดและน้ำหนักกล่อง: บริการเหมาจ่ายคิดราคาเท่ากันสำหรับกล่องในขนาดและน้ำหนักที่กำหนด ลองทดสอบกล่องหลายแบบเพื่อหาขนาดที่เล็กที่สุดที่ยังคงปกป้องสินค้าได้
- ส่วนลดตามปริมาณ: ถ้าออเดอร์เพิ่มขึ้นมาก ควรติดต่อผู้ให้บริการเพื่อขอส่วนลดจัดส่งแบบล็อตใหญ่ หลายเจ้ามีเรตราคาพิเศษสำหรับร้านที่ส่งจำนวนมาก
- วัสดุบรรจุภัณฑ์: การเลือกใช้วัสดุน้ำหนักเบา เช่น โฟม หรือกระดาษลูกฟูกบาง ช่วยลดต้นทุนค่าจัดส่งแบบคำนวณตามน้ำหนัก โดยไม่ลดทอนการปกป้องสินค้า
เรียนรู้จากฟีดแบ็กลูกค้า
ทุกการสนทนากับลูกค้าเป็นโอกาสพัฒนา เมื่อต้องถามความคิดเห็นเรื่องการจัดส่ง ใช้ภาษาที่เป็นมิตรและชี้ให้เห็นว่าความเห็นนั้นช่วยให้ธุรกิจปรับปรุงเพื่อพวกเขาเอง
หากลูกค้าไม่พอใจ อาจรักษาความสัมพันธ์ได้ด้วยการเสนอจัดส่งฟรีหรือเครดิตร้าน ถึงแม้จะเสียการขายครั้งนั้น แต่สิ่งที่ได้เรียนรู้จะช่วยป้องกันปัญหาในอนาคต
ปรับกลยุทธ์ด้วยข้อมูลจริง
ใช้สิ่งที่ค้นพบมาปรับการจัดส่ง เช่น ถ้าลูกค้าบ่นเรื่องจัดส่งช้า ควรเน้นให้ชัดเจนเรื่องเกณฑ์ยอดสั่งขั้นต่ำที่ได้จัดส่งฟรี
วิเคราะห์รูปแบบในต้นทุนด้วย เช่น ถ้าสินค้าขายดีส่วนใหญ่พอดีกับกล่องขนาดหนึ่ง ก็บันทึกขนาดนั้นไว้ในระบบ Shopify เพื่อให้การแพ็กสินค้าสม่ำเสมอและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าทีมงานคนไหนจะเป็นผู้จัดการ
ปรับแต่งกระบวนการจัดส่งให้แม่นยำ
ความสำเร็จในการจัดส่งอยู่ที่ 2 กลยุทธ์หลัก: การเตรียมการ และการปรับปรุงต่อเนื่อง สร้างนโยบายล่วงหน้าในช่วงที่มีเวลาได้คิดอย่างรอบคอบว่ารูปแบบไหนเหมาะกับธุรกิจ สินค้า และงบประมาณ
และอย่าลืมรักษาความยืดหยุ่น คำถามจริงจากลูกค้ามักเปิดโอกาสให้คุณปรับนโยบายได้ดียิ่งขึ้น ทุกคำถามเกี่ยวกับการจัดส่งเป็นโอกาส 2 ต่อ ทั้งการแก้ปัญหาให้ลูกค้าทันที และทำให้นโยบายของร้านดียิ่งขึ้นสำหรับลูกค้าทุกคน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีคิดค่าส่งสินค้า
เราจะคำนวณค่าจัดส่งสำหรับร้านค้าออนไลน์ได้อย่างไร?
ปัจจัยหลักที่ควรพิจารณา ได้แก่
- ความเร็วในการจัดส่งที่ต้องการ
- มูลค่าพัสดุและความจำเป็นในการทำประกัน
- ปลายทางของการจัดส่ง
- น้ำหนักและขนาดของพัสดุ
- ค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติม
ควรคิดค่าจัดส่งเท่าไหร่?
คำนวณต้นทุนเฉลี่ยต่อพัสดุ โดยนำค่าจัดส่งรวมทั้งหมดใน 1 เดือน มาหารด้วยจำนวนพัสดุที่ส่ง ใช้ตัวเลขนี้เป็นฐานสำหรับกำหนดอัตราค่าจัดส่ง
ค่าจัดส่งทั่วไปอยู่ที่เท่าไหร่?
ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการและหลายปัจจัย เช่น จำนวนพัสดุ น้ำหนัก ความเร็ว หรือระยะทาง แต่คุณสามารถประหยัดได้มากหากเลือกบริการที่เหมาะสม เช่น Shopify Shipping มีส่วนลดสูงสุดถึง 88% จากราคามาตรฐานกับ USPS, UPS และ DHL
เราจะจัดการค่าจัดส่งระหว่างประเทศได้อย่างไร?
การขายไปต่างประเทศเป็นโอกาสใหญ่ แต่ค่าจัดส่งมักเป็นความท้าทาย กลยุทธ์ที่ร้านค้าในไทยสามารถพิจารณาได้ เช่น
- ใช้คลังสินค้าท้องถิ่นในตลาดหลัก: ถ้ามียอดสั่งซื้อมากจากประเทศใดประเทศหนึ่ง อาจใช้บริการ Fulfillment Center ในพื้นที่นั้นเพื่อลดค่าจัดส่งและเวลา
- หลีกเลี่ยงการแยกออเดอร์จากหลายที่: รวมออเดอร์ให้ส่งจากจุดเดียวเพื่อลดต้นทุนและค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน
- เจรจาอัตรากับผู้ให้บริการขนส่ง: หากมีปริมาณออเดอร์มาก สามารถติดต่อ Kerry, DHL Express, ไปรษณีย์ไทย หรือผู้ให้บริการอื่น ๆ เพื่อขอราคาพิเศษ
- รวมค่าจัดส่งในราคาสินค้า: ทำให้ลูกค้าเห็นราคาแบบ “Free International Shipping” ซึ่งมักดึงดูดกว่า แม้คุณจะบวกรวมค่าจัดส่งไว้แล้ว
- เสนอทางเลือกจัดส่งตามภูมิภาค: เช่น สำหรับประเทศเพื่อนบ้านอาจใช้บริการมาตรฐานราคาประหยัด แต่สำหรับยุโรปหรืออเมริกาอาจให้ตัวเลือกด่วนจาก DHL หรือ FedEx


