การให้สิทธิ์ใช้แบรนด์ คือกระบวนการที่บริษัทหนึ่งอนุญาตให้ธุรกิจอื่นนำทรัพย์สินทางปัญญาของตนไปใช้เชิงพาณิชย์ได้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อแบรนด์ ซอฟต์แวร์ หรือสิทธิบัตร โดยแลกกับค่าลิขสิทธิ์หรือค่าธรรมเนียมรายได้
อุตสาหกรรมการให้สิทธิ์ใช้แบรนด์ถือเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ คาดว่ามีมูลค่ารวมกว่า 533.9 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2033 โมเดลนี้เปิดโอกาสให้แบรนด์สามารถขยายผลิตภัณฑ์ได้มากขึ้น ป้องกันการถูกลอกเลียนแบบ และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับลูกค้า อย่างไรก็ตาม ก่อนเริ่มใช้กลยุทธ์สิทธิ์ใช้แบรนด์เพื่อขยายธุรกิจ ควรทำความเข้าใจกลไกและเงื่อนไขต่าง ๆ ของการให้สิทธิ์นี้อย่างละเอียด
ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักรูปแบบของข้อตกลงสิทธิ์ใช้แบรนด์ ประโยชน์ของการให้สิทธิ์ใช้ทรัพย์สินทางปัญญา และตัวอย่างแบรนด์ระดับโลกที่ประสบความสำเร็จจากการใช้กลยุทธ์การให้สิทธิ์ใช้แบรนด์อย่างมีประสิทธิภาพ
การให้สิทธิ์ใช้แบรนด์คืออะไร?
สิทธิ์ใช้แบรนด์ คือการที่เจ้าของแบรนด์อนุญาตให้บริษัทอื่นนำทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property: IP) ของตนไปใช้ในเชิงพาณิชย์ เช่น สิทธิบัตร ซอฟต์แวร์ หรือคาแรกเตอร์ของแบรนด์ โดยแลกกับค่าธรรมเนียมหรือค่าลิขสิทธิ์ตามที่ตกลงกันไว้
ลักษณะของการให้สิทธิ์ใช้แบรนด์
การให้สิทธิ์ใช้แบรนด์เกิดขึ้นเมื่อเจ้าของแบรนด์อนุญาตให้ผู้ค้าหรือบริษัทอื่นใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของตนเป็นการชั่วคราว โดยผู้ได้รับสิทธิ์สามารถนำทรัพย์สินนั้นไปต่อยอด เช่น ขายซ้ำในราคาที่สูงขึ้น หรือผลิตสินค้าโดยใช้ชื่อแบรนด์ โลโก้ หรือดีไซน์ที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของแบรนด์
ไม่ว่ารูปแบบใด เจ้าของแบรนด์จะได้รับผลตอบแทนในรูปของค่าธรรมเนียมลิขสิทธิ์ซึ่งอาจเป็นค่าคอมมิชชันตามเปอร์เซ็นต์ของยอดขาย หรือจ่ายครั้งเดียวตามข้อตกลง เพื่อเป็นการตอบแทนสำหรับการอนุญาตให้ใช้ สิทธิ์ใช้แบรนด์ นั่นเอง
5 ประเภทข้อตกลงสิทธิ์ใช้แบรนด์
สิทธิ์ใช้แบรนด์และเครื่องหมายการค้า
บริษัทสามารถให้สิทธิ์แก่ธุรกิจอื่นเพื่อนำชื่อแบรนด์หรือโลโก้ของตนไปใช้ได้ ตัวอย่างเช่น Coca-Cola ที่อนุญาตให้ผู้ผลิตอิสระในหลายประเทศผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มแทนตนได้ เพราะมีสัญญาใช้เครื่องหมายการค้า (Trademark License) ข้อตกลงลักษณะนี้สร้างรายได้จากการขายปลีกให้กับแบรนด์มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
สิทธิ์ใช้สิทธิบัตร
สิทธิบัตรเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย เช่นเดียวกับเครื่องหมายการค้า แต่จะคุ้มครอง “นวัตกรรมหรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่” เช่น เครื่องจักร การออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือพืชสายพันธุ์ใหม่ ตัวอย่างเช่น Lollacup แบรนด์ขวดน้ำสำหรับเด็กที่มีลูกตุ้มถ่วงด้านใน ผู้ที่ต้องการผลิตสินค้าลักษณะเดียวกันต้องได้รับสิทธิ์ใช้สิทธิบัตรจากแบรนด์ก่อน
สิทธิ์ใช้คาแรกเตอร์ บันเทิง และศิลปะ
คุณอาจเห็นตัวการ์ตูนอย่าง Mickey Mouse, Marvel หรือ Star Wars ปรากฏอยู่บนสินค้าแฟชั่น ของแต่งบ้าน หรือแก้วน้ำทั่วโลก ไม่ได้ผลิตโดย Disney โดยตรง แต่เป็นแบรนด์ที่ได้รับ สิทธิ์ใช้แบรนด์ จาก Disney ให้สามารถใช้ตัวละครเหล่านี้บนสินค้าได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
นอกจากนี้ Disney ยังให้สิทธิ์การเผยแพร่ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ เพลง และแม้แต่ฟุตเทจจากสวนสนุกของตนแก่พันธมิตรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
สิทธิ์ใช้ซอฟต์แวร์
เมื่อคุณจ่ายเงินเพื่อใช้ซอฟต์แวร์ใด ๆ หมายความว่าคุณได้ซื้อสิทธิ์การใช้งานซอฟต์แวร์ (Software License) แบบผู้ใช้เดี่ยวหรือแบบทีม ซึ่งไม่สามารถขายสิทธิต่อให้ผู้อื่นได้ เว้นแต่จะมีใบอนุญาตแบบหลายผู้ใช้ (Multi-user License) ที่เปิดโอกาสให้บริษัทภายนอกสามารถนำซอฟต์แวร์นั้นไปจำหน่ายต่อให้ลูกค้าคนอื่นได้อย่างถูกต้
สิทธิ์ใช้แบรนด์ด้านกีฬา
ทีมกีฬาชื่อดังทั่วโลก เช่น NBA, NFL และสโมสรฟุตบอลยุโรป มักทำข้อตกลงสิทธิ์ใช้แบรนด์กับบริษัทภายนอก เพื่ออนุญาตให้ผลิตและจำหน่ายสินค้าที่มีโลโก้ของทีม หรือลงชื่อของนักกีฬาบนสินค้า เช่น เสื้อ หมวก และของสะสมต่าง ๆ ซึ่งช่วยขยายรายได้และการรับรู้แบรนด์ในระดับโลก
ประโยชน์ของการให้สิทธิ์ใช้แบรนด์ในธุรกิจค้าปลีก
เพิ่มการรับรู้และการเข้าถึงของแบรนด์
ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ให้สิทธิ์ (Licensor) หรือผู้รับสิทธิ์ (Licensee) ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ร่วมกันจากการเข้าถึงฐานลูกค้าของอีกฝ่าย การให้สิทธิ์ใช้แบรนด์ช่วยขยายการรับรู้ของแบรนด์ไปยังกลุ่มผู้บริโภคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอายุใหม่ พื้นที่ใหม่ หรือแม้แต่ตลาดต่างประเทศ การเจาะตลาดใหม่จึงง่ายขึ้นเมื่อคุณร่วมมือกับพันธมิตรที่มีฐานลูกค้าอยู่แล้วในพื้นที่นั้น
ขยายไลน์สินค้าโดยไม่ต้องเพิ่มกำลังการผลิต
ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ การพัฒนาไลน์สินค้าใหม่ให้ทันต่อความต้องการของลูกค้าไม่ใช่เรื่องง่าย ธุรกิจที่มีฐานมั่นคงอยู่แล้วมักมีทั้งเงินทุน ประสบการณ์ และเครือข่ายในตลาดที่แข็งแรง ในขณะที่สตาร์ทอัปอาจต้องใช้เงินลงทุนส่วนตัวหรือหานักลงทุนเพิ่มเติม ซึ่งใช้ทั้งเวลาและมีความเสี่ยงสูง
การให้สิทธิ์ใช้แบรนด์ (Brand Licensing) จึงเป็นทางออกที่ช่วยสร้างสะพานเชื่อมระหว่างการออกแบบผลิตภัณฑ์และกำลังการผลิต โดยการร่วมมือกับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีทรัพยากรพร้อม จะช่วยให้คุณสามารถผลิตสินค้าในปริมาณมากขึ้น โปรโมตได้ในวงกว้าง และเข้าถึงผู้บริโภคได้มากกว่าที่เคย
สร้างรายได้เสริมและกระจายแหล่งรายได้
เมื่อทำข้อตกลงสิทธิ์ใช้แบรนด์ เจ้าของแบรนด์จะได้รับค่าลิขสิทธิ์จากยอดขายของสินค้าที่ได้รับอนุญาตในแต่ละชิ้น แม้ว่ารายได้ส่วนนี้อาจไม่ทำให้ธุรกิจเติบโตจากหลักพันเป็นหลักล้านในทันที แต่ก็เป็นรายได้ต่อเนื่องที่ช่วยเพิ่มมูลค่าและความมั่นคงทางการเงินให้กับแบรนด์
รายได้เสริมจากสิทธิ์ใช้แบรนด์ยังช่วยลดความผันผวนในช่วงฤดูกาลของธุรกิจค้าปลีก ทำให้กระแสรายได้มีเสถียรมากขึ้นตลอดทั้งปี
ปกป้องแบรนด์จากสินค้าปลอมและการละเมิดลิขสิทธิ์
เมื่อแบรนด์เติบโตขึ้น ย่อมมีโอกาสสูงที่สินค้าปลอมจะเริ่มเข้ามาแทรก การให้สิทธิ์ใช้แบรนด์อย่างถูกต้องช่วยป้องกันปัญหานี้ได้ตั้งแต่ต้น เพราะขั้นตอนแรกของกระบวนการ Brand Licensing คือการจดทะเบียนและคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ของแบรนด์อย่างเป็นทางการ
นอกจากนี้ สัญญาการให้สิทธิ์ยังช่วยปกป้องภาพลักษณ์ของแบรนด์ ด้วยการระบุเงื่อนไขชัดเจนเรื่องการตั้งราคาและการลดราคา ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ได้ดียิ่งขึ้น และมีหลักฐานทางกฎหมายรองรับเมื่อต้องจัดการกับสินค้าลอกเลียนแบบ
วิธีการให้สิทธิ์ใช้แบรนด์
กลยุทธ์การให้สิทธิ์ใช้แบรนด์ที่ดีจะช่วยให้ทรัพย์สินของแบรนด์คุณปลอดภัย ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย และยังมั่นใจได้ว่าสิทธิ์ที่มอบให้ผู้อื่นจะสร้างประโยชน์กลับคืนมาสู่แบรนด์ในระยะยาว
ต่อไปนี้คือขั้นตอนเริ่มต้นสำหรับการสร้างระบบการให้สิทธิ์ใช้แบรนด์อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
1. ปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของคุณ
สิ่งสุดท้ายที่คุณอยากให้เกิดขึ้น คือการเปิดสิทธิ์ให้ผู้อื่นเข้าถึงทรัพย์สินของแบรนด์โดยไม่ได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมกลับมา
เริ่มต้นจากการปกป้องแบรนด์ของคุณให้รัดกุมตั้งแต่ต้น โดยทำงานร่วมกับทนายความที่เชี่ยวชาญด้านทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Lawyer) เพื่อให้มั่นใจว่าทรัพย์สินสำคัญ เช่น ชื่อแบรนด์ โลโก้ หรือผลงานดีไซน์ ได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าและคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเป็นทางการ
เมื่อคุณมีการคุ้มครองสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว ก็สามารถวางแผนต่อยอดเพื่อสร้างรายได้จากสิทธิ์ใช้แบรนด์ได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกละเมิดหรือการใช้แบรนด์โดยไม่ได้รับอนุญาต
2. ศึกษาและวางกลยุทธ์ให้รอบด้าน
ก่อนเริ่มให้สิทธิ์ใช้แบรนด์ควรสร้างกลยุทธ์โดยรวมที่ชัดเจนว่า “คุณต้องการอะไรจากผู้รับสิทธิ์ (Licensee)” เพื่อให้สามารถคัดเลือกบริษัทที่เหมาะสมได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
เช่นเดียวกับการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ คุณต้องประเมินผู้รับสิทธิ์อย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นคู่ค้าที่เหมาะกับแบรนด์ของคุณจริง ๆ ปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา ได้แก่
- ลูกค้าของคุณสนใจสินค้านี้หรือไม่ หากลูกค้าถามหาสินค้าประเภทหนึ่งบ่อยครั้ง แต่คุณยังไม่ได้ผลิตเอง นั่นอาจเป็นโอกาสดีที่จะให้ผู้อื่นได้รับสิทธิ์ผลิตสินค้านั้นภายใต้ชื่อแบรนด์ของคุณ
- คุณค่าของแบรนด์สอดคล้องกับสินค้านั้นหรือไม่ ตัวอย่างเช่น ทีมกีฬาชื่อดังมักให้สิทธิ์ใช้โลโก้กับผู้ผลิตเสื้อผ้า เพราะแฟน ๆ ยินดีซื้อตราสัญลักษณ์ทีมอย่างต่อเนื่อง นั่นคือ “การจับคู่แบรนด์ที่ลงตัว” ในทางกลับกัน หากแบรนด์ผ้าอนามัยอย่าง Tampax ไปให้สิทธิ์บริษัทผลิตซีเรียลอาหารเช้า ก็อาจไม่เหมาะสมกับภาพลักษณ์ของแบรนด์เท่าใดนัก
- ผู้รับสิทธิ์มีศักยภาพเพียงพอหรือไม่ ความสำเร็จของข้อตกลงสิทธิ์ใช้แบรนด์ขึ้นอยู่กับยอดขายของสินค้าที่ได้รับอนุญาต หากผู้รับสิทธิ์ไม่มีศักยภาพในการผลิตและจัดจำหน่ายในปริมาณมากพอ ก็อาจทำให้ข้อตกลงไม่คุ้มค่าทางธุรกิจได้
การทำการบ้านให้ครบก่อนเริ่มกระบวนการ คือก้าวแรกที่จะทำให้การให้สิทธิ์ใช้แบรนด์ของคุณแข็งแรง มีกลยุทธ์ และสร้างรายได้ได้จริงในระยะยาว
3. ร่างข้อตกลงสิทธิ์ใช้แบรนด์
ข้อตกลงสิทธิ์ใช้แบรนด์ คือเอกสารสำคัญที่กำหนดรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับการร่วมมือระหว่างเจ้าของแบรนด์และผู้รับสิทธิ์ ตั้งแต่ขอบเขตการใช้งาน ระยะเวลาของสัญญา ไปจนถึงการแบ่งรายได้จากยอดขายสินค้า
โดยทั่วไป ผู้รับสิทธิ์จะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้เจ้าของแบรนด์เป็นสัดส่วนของยอดขายในแต่ละชิ้น หรือในบางกรณีอาจจ่ายเป็นค่าธรรมเนียมก้อนเดียวตามที่กำหนดไว้ในสัญญา
เนื่องจากสัญญาประเภทนี้มีรายละเอียดทางกฎหมายซับซ้อน การทำงานร่วมกับทนายที่เชี่ยวชาญด้านสิทธิ์ใช้แบรนด์ ถือเป็นสิ่งจำเป็น ควรมองหาทนายที่มีประสบการณ์เฉพาะด้านทรัพย์สินทางปัญญา เช่น สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า หรือซอฟต์แวร์ เพื่อให้แน่ใจว่าสัญญาครอบคลุมทุกมิติและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
แม้ขั้นตอนนี้อาจใช้เวลา แต่ถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุดรองจากการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา เพราะข้อตกลงที่รัดกุมจะช่วยป้องกันความขัดแย้งในอนาคต และทำให้ระบบสิทธิ์ใช้แบรนด์ของคุณดำเนินไปอย่างมั่นคงและปลอดภัย
องค์ประกอบสำคัญของข้อตกลงสิทธิ์ใช้แบรนด์
เมื่อคุณและตัวแทนกฎหมายหรือที่ปรึกษาด้านสิทธิ์ใช้แบรนด์เริ่มร่างสัญญา จะมีเงื่อนไขและข้อกำหนดหลายประการที่ต้องตกลงร่วมกัน เพื่อกำหนดรายละเอียดของความร่วมมือระหว่างเจ้าของแบรนด์และผู้รับสิทธิ์อย่างชัดเจน
ข้อตกลงเหล่านี้จะเป็นเสมือนกรอบการทำงานของทั้งสองฝ่าย เพื่อให้เข้าใจตรงกันเกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ และความคาดหวังตลอดระยะเวลาการให้สิทธิ์ใช้แบรนด์ ทั้งในแง่ของระยะเวลา พื้นที่ทางการตลาด ประเภทสินค้า รวมถึงผลตอบแทนและการควบคุมคุณภาพของแบรนด์
การระบุทรัพย์สินทางปัญญาที่ให้สิทธิ์ใช้
ข้อตกลงสิทธิ์ใช้แบรนด์ควรระบุอย่างชัดเจนว่า ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property: IP) ใดที่อยู่ภายใต้ข้อตกลง และสิ่งใดที่ “ไม่รวมอยู่ในสิทธิ์” เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดในภายหลัง
ตัวอย่างเช่น แบรนด์ Sanshee ซึ่งเป็นธุรกิจค้าปลีกที่ผลิตสินค้าพรีเมียมสำหรับแฟนเกมและอนิเมะ ได้แบ่งปันประสบการณ์จาก Sarah Fetter ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการซึ่งดูแลข้อตกลงสิทธิ์ใช้แบรนด์ของบริษัทว่า
“คุณต้องระบุให้ชัดเจนว่าเจ้าของแบรนด์ ต้องส่งมอบอะไรให้บ้าง เช่น การตกลงว่าจะโปรโมตสินค้าที่สร้างขึ้นภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ สิ่งเหล่านี้ควรเขียนไว้ในสัญญาตั้งแต่ต้น เพราะช่วยให้ทุกอย่างเป็นระบบและโปร่งใส”
เธอยังเสริมอีกว่า การได้รับชุดข้อมูลและไฟล์ครบถ้วนตั้งแต่วันเซ็นสัญญา เช่น ไฟล์เกมฉบับจริง ข้อมูลพื้นหลังของตัวละคร งานศิลป์ หรือไฟล์ภาพต้นฉบับ ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้รับสิทธิ์ เพราะช่วยให้สามารถผลิตและโปรโมตสินค้าที่ได้รับสิทธิ์ใช้แบรนด์ได้อย่างถูกต้องและตรงตามมาตรฐานของแบรนด์
ความเฉพาะสิทธิ์
ข้อตกลงสิทธิ์ใช้แบรนด์ส่วนใหญ่จะเป็นแบบไม่เฉพาะสิทธิ์ หมายความว่า เจ้าของแบรนด์สามารถให้สิทธิ์กับผู้ผลิตรายอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันได้หลายรายตามต้องการ แม้ว่ารูปแบบไม่เฉพาะสิทธิ์จะเป็นแนวทางที่นิยมในวงการ แต่ก็ยังจำเป็นต้องระบุไว้ในสัญญาอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันความเข้าใจคลาดเคลื่อนในภายหลัง
ในบางกรณี เจ้าของแบรนด์อาจเลือกให้สิทธิ์แบบเฉพาะรายกับพันธมิตรเพียงไม่กี่รายเท่านั้น การให้สิทธิ์ลักษณะนี้จะช่วยให้ผู้รับสิทธิ์มีความได้เปรียบทางการแข่งขันมากขึ้น และในขณะเดียวกัน เจ้าของแบรนด์ก็สามารถเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์ในอัตราที่สูงกว่าได้
ค่าลิขสิทธิ์
ผู้รับสิทธิ์สร้างรายได้จากการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของคุณ ดังนั้นในข้อตกลงสิทธิ์ใช้แบรนด์ ควรระบุรายละเอียดให้ชัดเจนเกี่ยวกับโครงสร้างการชำระเงินหรือค่าตอบแทนทางการเงินจากการให้สิทธิ์ใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของธุรกิจคุณ
รูปแบบการชำระค่าลิขสิทธิ์ที่พบบ่อยมีดังนี้
-
ค่าธรรมเนียมคงที่เริ่มต้น ผู้รับสิทธิ์จ่ายค่าธรรมเนียมแบบเหมาจ่ายล่วงหน้า เพื่อรับสิทธิ์ใช้แบรนด์ มักคิดเป็นรายปี
- ค่าลิขสิทธิ์ต่อเนื่อง ผู้รับสิทธิ์จ่ายค่าลิขสิทธิ์เป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาต่อหน่วย หรือเป็นจำนวนเงินที่กำหนดไว้ต่อสินค้าหนึ่งชิ้นที่ขายได้ ตัวอย่างเช่น หากคุณเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์ 10% จากยอดขาย และผู้รับสิทธิ์ขายสินค้าได้มูลค่า 500,000 บาท คุณจะได้รับค่าลิขสิทธิ์ 50,000 บาท
บางแบรนด์อาจเพิ่มเงื่อนไขการติดตามยอดขายปลีกไว้ในข้อตกลงด้วย เพื่อให้เจ้าของแบรนด์สามารถขอข้อมูลยอดขายจากผู้รับสิทธิ์ เพื่อตรวจสอบว่าความร่วมมือยังคงคุ้มค่าเชิงพาณิชย์หรือไม่
นอกจากนี้ ควรกำหนดเงื่อนไขเรื่องส่วนลดสินค้าที่ได้รับสิทธิ์ใช้แบรนด์ไว้อย่างชัดเจนในสัญญา เพราะแม้ส่วนต่างจะดูเล็กน้อย แต่สามารถส่งผลต่อรายได้จริงได้อย่างมาก เช่น ค่าลิขสิทธิ์ 10% จากสินค้าราคาปกติ 50 บาท ย่อมแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสินค้าลดราคาเหลือ 20 บาท
การควบคุมคุณภาพ
เมื่อคุณอนุญาตให้บริษัทอื่นใช้ชื่อ โลโก้ หรือภาพลักษณ์ของแบรนด์บนสินค้า นั่นหมายถึงการยอมรับความเสี่ยงในระดับหนึ่ง เพราะคุณกำลังเชื่อมโยงชื่อเสียงของแบรนด์เข้ากับคุณภาพของสินค้านั้นโดยตรง
ดังนั้น การระบุเงื่อนไขการควบคุมคุณภาพ (Quality Assurance Terms) ไว้อย่างชัดเจนในข้อตกลงสิทธิ์ใช้แบรนด์จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อปกป้องอัตลักษณ์และชื่อเสียงของแบรนด์ในระยะยาว
ตัวอย่างเงื่อนไขการควบคุมคุณภาพที่ควรรวมไว้ เช่น
- ห้ามบิดเบือนหรือปรับเปลี่ยนภาพ เช่น โลโก้ของแบรนด์
- ห้ามเปลี่ยนฟอนต์หรือโทนสีประจำแบรนด์
- ห้ามเพิ่มโค้ดใหม่ลงในซอฟต์แวร์ที่ได้รับสิทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาต
เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์ ให้ระบุอย่างชัดเจนในสัญญาว่า ทรัพย์สินใดที่ได้รับสิทธิ์ใช้ (เช่น คาแรกเตอร์ในวิดีโอเกม) และกำหนดขอบเขตการใช้งานของผู้รับสิทธิ์ให้ละเอียด เช่น “ผู้รับสิทธิ์ห้ามนำทรัพย์สินทางปัญญาของเราไปใช้ในการผลิตหรือจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ข้อตกลงลักษณะนี้จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าสินค้าและบริการที่ใช้ สิทธิ์ใช้แบรนด์ จะคงมาตรฐานและภาพลักษณ์ที่สอดคล้องกับแบรนด์ของคุณเสมอ
ระยะเวลาในข้อตกลงสิทธิ์ใช้แบรนด์
ไม่มีระยะเวลามาตรฐานตายตัวสำหรับข้อตกลงสิทธิ์ใช้แบรนด์ โดยทั่วไปอาจเริ่มจากสัญญาระยะเวลา 1 ปี ซึ่งถือว่าเหมาะสำหรับการทดลองความร่วมมือ แต่บางแบรนด์อาจเลือกทำสัญญาระยะยาว เพื่อให้มีเวลามากพอในการวางแผนผลิตและจำหน่ายสินค้าที่ได้รับสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกัน แบรนด์ที่เพิ่งเริ่มเข้าสู่ธุรกิจสิทธิ์ใช้แบรนด์อาจเลือกทำสัญญาระยะสั้นก่อน เพื่อทดสอบว่ารูปแบบนี้เหมาะกับกลยุทธ์ของตนหรือไม่
สิ่งสำคัญไม่ใช่ระยะเวลาของสัญญาจะยาวหรือสั้น แต่คือ การระบุระยะเวลาที่ตกลงกันไว้อย่างชัดเจนในข้อตกลงสิทธิ์ใช้แบรนด์ เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกันและสามารถวางแผนการดำเนินงานได้อย่างราบรื่น
พื้นที่ทางภูมิศาสตร์
หากคุณทำงานร่วมกับพันธมิตรหลายรายในการให้สิทธิ์ใช้แบรนด์ควรกำหนดอย่างชัดเจนในสัญญาว่าแต่ละรายสามารถใช้สิทธิ์ใน “ภูมิภาคใด” ได้บ้าง เพื่อหลีกเลี่ยงการแย่งตลาดหรือเกิดความขัดแย้งระหว่างผู้รับสิทธิ์
ในบางกรณี หากคุณอยู่ต่างประเทศ อาจไม่สามารถจำหน่ายสินค้าในประเทศที่ทรัพย์สินทางปัญญานั้นถูกถือสิทธิ์ไว้ได้ ตัวอย่างเช่น หากคุณทำสัญญากับผู้ผลิตเกมในประเทศอังกฤษ คุณอาจไม่สามารถจำหน่ายสินค้านั้นในอังกฤษได้อีก เพราะมีผู้รับสิทธิ์รายอื่นที่ได้รับสิทธิ์เฉพาะอยู่แล้วในพื้นที่นั้น
ความรับผิดชอบด้านการจัดส่งสินค้า
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญในข้อตกลงสิทธิ์ใช้แบรนด์คือ การระบุให้ชัดว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบในขั้นตอนการจัดส่ง ตั้งแต่การหยิบสินค้า แพ็กสินค้า ไปจนถึงการจัดส่งถึงมือลูกค้า รวมถึงการกำหนดสถานที่เก็บสินค้าคงคลัง ว่าจะอยู่ในคลังสินค้าของเจ้าของแบรนด์ ของผู้รับสิทธิ์ หรือศูนย์กระจายสินค้าของผู้ให้บริการโลจิสติกส์บุคคลที่สาม (3PL)
รูปแบบข้อตกลงที่ดีควรมีการระบุชัดเจน เช่น “เราจะส่งสินค้าจำนวน X ชิ้นไปยังสถานที่ Y เพื่อให้ผู้รับสิทธิ์ดำเนินการจัดส่งต่อ” เพราะเมื่อเริ่มมีขั้นตอนการนำเข้า การขนส่งระหว่างประเทศ หรือข้อกำหนดเฉพาะทางด้านโลจิสติกส์ สิ่งเหล่านี้จะซับซ้อนมากขึ้น การระบุหน้าที่อย่างละเอียดในสัญญาจึงช่วยลดปัญหาและเพิ่มความชัดเจนในการบริหารจัดการการจัดส่งสินค้า
เงื่อนไขการยกเลิกสัญญา
ทุกข้อตกลงสิทธิ์ใช้แบรนด์ควรมีเงื่อนไขการยกเลิกสัญญา ที่ระบุไว้อย่างชัดเจน เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดและจัดการความสัมพันธ์ทางธุรกิจได้อย่างเป็นระบบ โดยควรครอบคลุมประเด็นหลัก ดังนี้
- ระยะเวลาที่สัญญาสิ้นสุดลง
- วิธีการที่แต่ละฝ่ายสามารถยกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดได้
- ระยะเวลาแจ้งล่วงหน้าก่อนการยกเลิกสัญญา
นอกจากนี้ ควรกำหนดด้วยว่าสัญญาสิทธิ์ใช้แบรนด์จะต่ออายุอัตโนมัติหรือไม่ และหากต่ออายุ จะมีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขด้านราคาอย่างไร ตัวอย่างเช่น หากคุณทำสัญญาระยะเวลา 2 ปีกับผู้รับสิทธิ์ อาจระบุในสัญญาว่า “หากสัญญาต่ออายุโดยอัตโนมัติ ค่าลิขสิทธิ์จะเพิ่มจาก 10% เป็น 12% ของยอดขายสินค้าที่ได้รับสิทธิ์ทั้งหมด” การระบุเงื่อนไขเหล่านี้ช่วยให้ทั้งสองฝ่ายสามารถวางแผนระยะยาวได้อย่างมั่นใจ และลดโอกาสเกิดข้อขัดแย้งเมื่อต้องสิ้นสุดหรือเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในอนาคต
ตัวอย่างการให้สิทธิ์ใช้แบรนด์
บริษัท Walt Disney
ดีสนีย์ไม่ได้เป็นผู้ผลิตเสื้อยืด แก้วกาแฟ หรือสินค้าที่มีตัวละครของตนเองทั้งหมด แต่ใช้กลยุทธ์สิทธิ์ใช้แบรนด์ในการขยายอาณาจักรทางธุรกิจ นับตั้งแต่ปี 1933 Disney ได้ทำข้อตกลงกับธุรกิจนับพันแห่งทั่วโลก เพื่อให้สิทธิ์ใช้ตัวละคร ชื่อซีรีส์ เพลง และเครื่องหมายการค้าของบริษัท
บริษัทเหล่านั้นจะเป็นผู้รับผิดชอบการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าเอง ขณะที่ Disney ได้รับค่าลิขสิทธิ์และส่วนแบ่งรายได้ ผลลัพธ์คือแบรนด์ดีสนีย์ปรากฏอยู่แทบทุกที่ และกลายเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของโลกด้านการให้สิทธิ์ใช้แบรนด์ โดยในปี 2024 Disney มียอดรายได้จากผู้รับสิทธิ์และการขายตรง (DTC) รวมกว่า 63 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ตัวอย่างเช่น ร้านค้าออนไลน์ A Birthday Place ที่ใช้ Shopify ได้สร้างสินค้าในธีม Frozen ภายใต้สิทธิ์แบรนด์ของดีสนีย์รวมถึงบริษัท Sun-Staches ที่จำหน่ายแว่นตาแฟนซีและของตกแต่งปาร์ตี้แบบขายส่งให้ร้านค้าปลีก ก็มีไลน์สินค้าที่ได้รับสิทธิ์แบรนด์ Frozen เช่นกัน ทำให้แบรนด์สามารถเข้าถึงผู้บริโภคทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่อง
Netflix
Netflix เป็นแพลตฟอร์Netflix คือแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีผู้ใช้บริการแบบชำระเงินกว่า 90 ล้านคนที่เข้าถึงคลังภาพยนตร์และซีรีส์ตามต้องการของแพลตฟอร์ม นอกจากนี้ Netflix ยังสร้างฐานแฟนคลับขนาดใหญ่จากซีรีส์และภาพยนตร์ต้นฉบับของตนเอง ซึ่งได้กลายเป็น “แบรนด์ย่อย” ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก
ตัวอย่างเช่น ร้านค้า Fugitive Toys ที่ใช้ Shopify จำหน่ายสินค้าที่ได้รับสิทธิ์ใช้แบรนด์อย่างเป็นทางการหลากหลายรายการ ทั้งบนเว็บไซต์และหน้าร้านในรัฐแคลิฟอร์เนีย หนึ่งในสินค้ายอดนิยมคือฟิกเกอร์คอลเลกชันจากซีรีส์ Stranger Things ของ Netflix
Sweets & Geeks
Sweets & Geeks เป็นร้านค้าปลีกที่จำหน่ายขนม เสื้อผ้า ของเล่น และสินค้าของสะสมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมป๊อป โดยอาศัยการถือครองสิทธิ์ใช้แบรนด์จากหลายแฟรนไชส์ชื่อดัง เพื่อเชื่อมโยงสินค้าของตนเข้ากับเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยม
แบรนด์นี้ได้รับสิทธิ์ใช้ชื่อจากหลากหลายแบรนด์ เช่น AirHeads, ทีม NFL, วง The Beatles, และเกมบอร์ดชื่อดังอย่าง Settlers of Catan ซึ่งช่วยให้ Sweets & Geeks สามารถออกแบบและจำหน่ายสินค้าที่ทันสมัย เข้ากับกระแส และดึงดูดผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง
ให้ “สิทธิ์ใช้แบรนด์” ช่วยขยายโอกาสร้านของคุณ
ไม่จำเป็นต้องมีตัวละครระดับโลกอย่างมิคกี้เมาส์ถึงจะเข้าร่วมในธุรกิจสิทธิ์ใช้แบรนด์ได้ เพราะการแบ่งปันทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์สามารถทำได้กับทุกแบรนด์ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในบทบาทของ ผู้รับสิทธิ์หรือผู้ให้สิทธิ์ก็ตาม
เพื่อให้ข้อตกลงสิทธิ์ใช้แบรนด์ของคุณรัดกุมและปลอดภัย ควรกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับผลตอบแทนทางการเงินและกระบวนการควบคุมคุณภาพให้ชัดเจน รวมถึงระบุข้อจำกัดในการใช้ทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะส่วนที่อาจส่งผลต่ออัตลักษณ์ของแบรนด์ เพราะเมื่อให้สิทธิ์แล้ว ภาพลักษณ์ของแบรนด์คุณจะถูกเชื่อมโยงกับอีกฝ่ายโดยตรง
แม้ว่าขั้นตอนเหล่านี้อาจดูซับซ้อน แต่การปรึกษาทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิ์ใช้แบรนด์จะช่วยให้สัญญาของคุณรัดกุม ครอบคลุม และปกป้องผลประโยชน์ของธุรกิจได้อย่างมั่นใจ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิทธิ์ใช้แบรนด์
สิทธิ์ใช้แบรนด์ในธุรกิจค้าปลีกคืออะไร?
สิทธิ์ใช้แบรนด์ในธุรกิจค้าปลีก หมายถึงการที่ร้านค้าสามารถใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของแบรนด์อื่น เพื่อจำหน่ายสินค้าได้ โดยบางกรณีไม่จำเป็นต้องเริ่มกระบวนการผลิตใหม่ทั้งหมด ผู้ให้สิทธิ์สามารถใช้กระบวนการผลิตเดิมของผู้รับสิทธิ์ในการจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าหรือสิทธิบัตรอยู่แล้ว
ตัวอย่างของข้อตกลงสิทธิ์ใช้แบรนด์ เป็นยังไง?
ตัวอย่างในชีวิตจริงของการทำข้อตกลงสิทธิ์ใช้แบรนด์คือ Barbie แบรนด์ระดับโลกที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก และมีข้อตกลงการให้สิทธิ์กับหลายธุรกิจ รวมถึงผู้ค้าปลีก หนึ่งในนั้นคือร้านค้า Shopify ที่ชื่อว่า The Oodie ซึ่งจำหน่ายสินค้าคอลเลกชันพิเศษ Barbie รุ่นลิมิเต็ด
สิทธิ์ใช้แบรนด์มีประโยชน์ยังไง?
สิทธิ์ใช้แบรนด์ช่วยให้ผู้ค้าปลีกสามารถขยายฐานลูกค้า และใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักอยู่แล้ว โดยไม่ต้องลงทุนสูงในกระบวนการผลิตสินค้าเองทั้งหมด
ความแตกต่างระหว่างแบรนด์ที่เป็นเจ้าของเองกับแบรนด์ที่ได้รับสิทธิ์คืออะไร?
แบรนด์ที่เป็นเจ้าของเอง คือแบรนด์ที่จำหน่ายสินค้าที่พัฒนาจากทรัพย์สินทางปัญญาหรือดีไซน์เฉพาะของตนเอง ส่วนแบรนด์ที่ได้รับสิทธิ์ คือแบรนด์ที่ใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของแบรนด์อื่น เช่น ตัวละคร โลโก้ หรือเครื่องหมายการค้า เพื่อผลิตและจำหน่ายสินค้า


