ไม่นานมานี้ โลกของเทคโนโลยีความจริงเสริม (AR) ยังดูเหมือนเป็นเพียงความฝันไซไฟที่ห่างไกล แต่ในพริบตา มันก็กลายเป็นความจริงที่ถูกนำมาใช้โดยธุรกิจต่างๆ เพื่อช่วยขายสินค้าไปซะแล้ว
แม้ว่าตลาด AR จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้ที่เข้ามาใช้ AR ในช่วงแรกๆ ส่วนใหญ่เป็นเกมเมอร์และคนที่สนใจ "เมตาเวิร์ส" แต่ AR ไม่ได้มีไว้สำหรับพวกเขาเท่านั้น
ผู้บริโภคเริ่มมองหาประสบการณ์ที่สมจริงมากขึ้นและต้องการมีส่วนร่วมกับสินค้าและแบรนด์ก่อนตัดสินใจซื้อ วามต้องการนี้อาจสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ทำให้หลายบริษัทชั้นนำเร่งทดลองการค้าในโลกเมตาเวิร์ส ตั้งแต่สินค้าในบ้าน อาหาร ไปจนถึงฟิตเนสและแฟชั่น
เราจะพาคุณไปรู้จักกับ AR Shopping อย่างละเอียด ตั้งแต่ภาพรวมตลาด AR/VR เทรนด์ที่ต้องจับตาในปี 2024 ไปจนถึงแอป AR ที่น่าสนใจที่สุดในตอนนี้
AR Shopping คืออะไร
AR Shopping หรือการช็อปปิ้งด้วยความจริงเสริมช่วยให้ลูกค้าสามารถลองใช้และทดสอบสินค้าแบบเสมือนจริงผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน หรือแว่น VR
AR ช่วยให้ผู้บริโภครู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในร้านจริงและได้โต้ตอบกับสินค้า หรือมองเห็นว่าสินค้าจะมีลักษณะอย่างไรเมื่ออยู่ในบ้านของตนเอง หรือในกรณีของแฟชั่น ก็สามารถลองสวมใส่บนร่างกายได้แบบเรียลไทม์
ดังนั้น AR จึงเหมาะสำหรับการประยุกต์ใช้ทางการตลาด เพราะช่วยให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมกับสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ เช่น การลองใส่เสื้อผ้าหรือเครื่องสำอางแบบเสมือนจริง รวมถึงการวางเฟอร์นิเจอร์ไปวางซ้อนบนภาพภายในห้องเพื่อประเมินขนาดและความเข้ากันของสไตล์ภายในบ้าน
อนาคตของตลาด AR/VR
ตลาดเทคโนโลยีเสมือนจริง (Augmented Reality – AR) มีมูลค่า 40.12 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022 และคาดการณ์ว่าจะถึง1.19 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2032 ทำให้นักการตลาดและแพลตฟอร์มต่างๆ มีเหตุผลดีที่จะลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้
บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ กำลังพยายามเร่งเทรนด์นี้โดยการลงทุนมากขึ้นในเครื่องมือ AR และ VR ตัวอย่างเช่น Google ซื้อกิจการ Raxium ในปี 2022 ซึ่งเป็นสตาร์ทอัปที่เชี่ยวชาญด้านแว่นตาอัจฉริยะที่มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ สามารถต่อยอดความสำเร็จของโครงการ Google Glass ได้อย่างมีศักยภาพ
และเมื่อไม่นานมานี้ Apple ซื้อกิจการสตาร์ทอัปหูฟัง AR ชื่อ Mira ข่าวนี้มาเพียงไม่กี่วันหลังจากที่บริษัทเปิดตัวหูฟัง VR รุ่นแรก Vision Pro และอาจเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีที่แบรนด์จะออกมา
ขณะเดียวกัน สมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ๆ ก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งด้านกล้องและซอฟต์แวร์ ทำให้การใช้งาน AR Shopping เข้าถึงได้ง่ายขึ้นในชีวิตประจำวัน ฟีเจอร์ “ลองสินค้าเสมือนจริง” จึงกลายเป็นเครื่องมือที่ดึงดูดใจผู้บริโภคและนักการตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ
แบรนด์ความงามหลายแบรนด์เริ่มก้าวเข้าสู่โลก AR/VR ให้ลูกค้าที่มีศักยภาพทำสิ่งต่างๆ เช่น ลองสีย้อมผมสีต่างๆ หรือทดสอบเฉดสีรองพื้นต่างๆ ผ่านฟีเจอร์กล้องของสมาร์ทโฟน เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ช่วยให้การตัดสินใจซื้อง่ายขึ้นและสนุกกว่าเดิม
6 เทรนด์ AR Shopping ที่ต้องจับตาในปี 2026
ในส่วนนี้ เราจะให้ภาพรวมของ 6 สำคัญในโลกของ AR Shopping ในปี 2026 เริ่มต้นด้วยวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการใช้เทคโนโลยี AR นั่นคือ แอปโซเชียลมีเดียและฟิลเตอร์กล้อง
1. แอปโซเชียลมีเดียและฟิลเตอร์กล้อง
นับตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดที่ผ่านมา ผู้คนใช้เวลาอยู่บนโลกออนไลน์มากขึ้น ทำให้แบรนด์ต่างๆ ต้องหาวิธีใหม่ๆ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภค และกระตุ้นให้เกิดการช้อปผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซ
หนึ่งในผู้บุกเบิกการใช้เทคโนโลยี AR Shopping บนมือถือคือแพลตฟอร์มอย่าง Snapchat และ Instagram ที่เปิดโอกาสให้แบรนด์สร้างฟิลเตอร์ AR สำหรับสินค้า เพื่อให้ผู้ใช้ได้ทดลองสินค้าผ่านกล้องของแอปโดยตรง
ตัวอย่างเช่น Snapchat ได้ร่วมมือกับแบรนด์ยาทาเล็บชื่อดัง OPI พัฒนาฟิลเตอร์ “ลองสีเล็บ” ที่ให้ผู้ใช้สามารถทดสอบเฉดสีต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์ในแอป ถือเป็นการผสมผสานประสบการณ์ความสนุกกับการช้อปปิ้งที่มีประสิทธิภาพ

หากคุณอยากลองใช้เทรนด์นี้กับแบรนด์ของตัวเอง นี่คือเคล็ดลับเล็กๆ ในการเริ่มต้นสร้างประสบการณ์ AR Shopping ผ่านโซเชียลมีเดีย
- สำหรับ Snapchat คุณสามารถใช้ SnapAR Lens Studio เพื่อสร้างเลนส์ AR ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด หรือใช้เทมเพลตที่มีอยู่เพื่อประหยัดเวลาในการพัฒนา
- หากคุณใช้ Facebook หรือ Instagram คุณสามารถใช้ Meta Spark เพื่อสร้างฟิลเตอร์ AR สำหรับ Facebook หรือ Instagram Stories
- ไม่ว่าคุณจะเลือกแพลตฟอร์มใดก็ตาม สิ่งสำคัญคือการมีทีมงานที่มีทักษะด้าน 3D modeling หรือการออกแบบกราฟิกสำหรับสภาพแวดล้อม AR เพราะการสร้างคอนเทนต์แบบนี้ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
อย่างไรก็ตาม โซเชียลมีเดียไม่ได้เป็นจุดจบของโลก AR Shopping เท่านั้น ยังมีอีกหลายธุรกิจที่นำเทคโนโลยี AR ไปใช้ในรูปแบบอื่นนอกเหนือจากแพลตฟอร์มโซเชียล ซึ่งเราจะพูดถึงกันในเทรนด์ต่อไป
2. การลองสินค้าเสมือนจริง
การสาธิตสินค้าคือหนึ่งในการใช้งาน AR Shopping ที่เห็นผลชัดที่สุด โดยเฉพาะในหมวดแฟชั่นและความงาม ซึ่งผู้บริโภคทั่วโลกเริ่มคุ้นเคยและตื่นเต้นกับการใช้เทคโนโลยีเสมือนจริงในอีคอมเมิร์ซมากขึ้น
หากคุณสนใจที่จะสร้างประสบการณ์การลองใช้เสมือนจริงสำหรับสินค้าของคุณ นี่คือคำแนะนำที่ควรรู้
- เริ่มจากสิ่งที่เรียบง่ายที่สุด เพราะยิ่งเพิ่มความซับซ้อนมากเท่าไร โอกาสที่ระบบจะทำงานผิดพลาดก็ยิ่งสูงขึ้น เนื่องจากใบหน้าและรูปร่างของแต่ละคนแตกต่างกัน จึงยังไม่มี AR ใดที่สามารถจำลองได้อย่างสมบูรณ์แบบ
- หากคุณใช้โซเชียลคอมเมิร์ซ (เช่น Instagram/Facebook Shops) คุณสามารถใช้การลองใช้เสมือนจริง Virtual Try-On ให้ลูกค้าทดลองสินค้าได้โดยตรงระหว่างเลื่อนดูสินค้า ซึ่งช่วยลดขั้นตอนและเพิ่มโอกาสปิดการขาย
อีกหนึ่งข้อดีของ Virtual Try-On คือช่วยลดการคืนสินค้า เพราะลูกค้าเห็นภาพชัดเจนว่าสินค้าจะดูเป็นอย่างไรเมื่อลองใช้จริง ทำให้ตัดสินใจซื้อง่ายขึ้นและลดความเสี่ยงในการสั่งผิด
3. โชว์รูมเสมือนจริง
แนวคิดของ Virtual Showroom คล้ายกับการลองสินค้าเสมือนจริง เพียงแต่ต่างกันตรงที่ลูกค้าสามารถวางสินค้าผ่านกล้องลงในสภาพแวดล้อมรอบตัวได้ เช่น ห้องนั่งเล่น หรือพื้นที่จริงภายในบ้าน
ความแตกต่างหลักระหว่าง Virtual Try-On กับ Virtual Showroom คือมุมมองของกล้อง จากที่เคยหันเข้าหาตัวผู้ใช้ กลับกลายเป็นการหันออกเพื่อจำลองการจัดวางสินค้าในพื้นที่จริง แต่ในด้านเทคโนโลยีแล้ว ทั้งสองระบบใช้หลักการใกล้เคียงกัน ซึ่งถือเป็นข่าวดีสำหรับเจ้าของธุรกิจ เพราะสามารถต่อยอดได้ง่ายโดยไม่ต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด
เคล็ดลับสำหรับการสร้างประสบการณ์ AR Shopping แบบ Virtual Showroom มีดังนี้
- หากต้องการสร้างและเผยแพร่สินค้าที่รองรับ AR บน Amazon สามารถใช้บริการ Amazon Sumerian ซึ่งออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย แม้ไม่มีพื้นฐานด้านการสร้างโมเดล 3D
- การใช้งานแบบโชว์รูมต่างจากการลองสินค้า เพราะผู้ใช้มักจะเคลื่อนไหวกล้องไปรอบๆ หรือส่องพื้นที่หลายจุด ดังนั้น ควรออกแบบระบบให้ตรวจจับระนาบพื้นหรือพื้นผิวได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้สินค้าถูกวางในตำแหน่งที่สมจริง
- ควรมีคำแนะนำหรือสัญลักษณ์บนหน้าจอ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจวิธีหมุนหรือปรับตำแหน่งของวัตถุในภาพได้ง่าย
- อย่าลืมคำนึงถึงสภาพแวดล้อมและอุปกรณ์ของผู้ใช้ เช่น ต้องสามารถใช้งานได้ด้วยมือเดียว และใช้งานได้ดีในพื้นที่แสงต่างๆ
Virtual Showroom ถือเป็นหนึ่งในรูปแบบการใช้งาน AR ที่ตอบโจทย์ธุรกิจที่ขายสินค้าจับต้องได้มากที่สุดในตอนนี้และจะยิ่งทรงพลังขึ้นเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาไปอีกขั้น
4.ฮาร์ดแวร์ AR ที่ทรงพลังและแม่นยำยิ่งขึ้น
นวัตกรรมในเทคโนโลยีมือถือ เช่น ฮาร์ดแวร์การตรวจจับความลึกที่ดีขึ้น (LiDAR และ ToF) ดูเหมือนจะไม่ชะลอตัวลงในเร็วๆ นี้ ผลที่ตามมาคือ โทรศัพท์รุ่นใหม่แต่ละรุ่นมีความพร้อมในการจัดการฟีเจอร์ AR ได้ดีขึ้น
รายได้ตลาด Mobile AR ทั่วโลกที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าใน 5 ปี จาก12.45 พันล้านดอลลาร์ในปี 2021 เป็น 36.26 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026 สะท้อนการเติบโตนี้ในความสามารถและความน่าสนใจของผู้บริโภค
ไม่เพียงแต่สมาร์ตโฟนเท่านั้นที่ได้รับความสนใจ เทคโนโลยี แว่นตาอัจฉริยะก็กำลังเป็นอีกสมรภูมิหนึ่งที่หลายบริษัทเร่งพัฒนา ทั้ง Google, Microsoft, Lenovo, และ Vuzix ต่างประกาศแผนการสร้างอุปกรณ์ AR ของตนเองในงาน CES 2022
แม้แว่นตา AR จะยังอยู่ในช่วงพัฒนาและยังไม่พร้อมวางจำหน่ายในวงกว้าง แต่เราไม่คาดหวังว่าจะมีให้ใช้งานอย่างแพร่หลายในอนาคตอันใกล้ ดังนั้นในตอนนี้ โฟกัสหลักยังคงอยู่ที่เทคโนโลยี AR บนมือถือ ที่เข้าถึงผู้ใช้ทั่วไปได้มากกว่า
เคล็ดลับหลักในการคิดเกี่ยวกับ AR มือถือ (และความสามารถที่ปรับปรุงขึ้น) คือศักยภาพในการพัฒนาแอปพลิเคชันที่เป็นของแบรนด์ (ตัวอย่างเช่น การใช้ ARKit ของ Apple) สำหรับลูกค้าเพื่อดูสินค้าของคุณด้วย AR คล้ายกับที่ IKEA สร้างแอป IKEA Place
5. กระจก AR สำหรับช็อปในร้าน
อีกเทรนด์ที่น่าสนใจที่ต้องจับตาดูคือการนำกระจก AR (AR Mirrors) มาใช้ภายในร้าน เพื่อยกระดับประสบการณ์การลองสินค้าแบบอินเทอร์แอ็กทีฟ
กระจก AR มีรูปแบบหลักอยู่สองแบบ แบบแรกใช้ จอดิจิทัลร่วมกับเทคโนโลยีตรวจจับการเคลื่อนไหว ติดตั้งอยู่หลังบานกระจก เพื่อให้ภาพสินค้าถูกซ้อนทับแบบเรียลไทม์บนภาพสะท้อนของผู้ใช้ ส่วนแบบที่สองไม่ใช้กระจกจริง แต่ใช้ จอแสดงผลพร้อมกล้อง คล้ายกับสมาร์ตโฟนขนาดใหญ่ ทำให้สามารถจำลองการลองสินค้าได้อย่างสมจริงเช่นกัน
ตลาดกระจกอัจฉริยะมีมูลค่า 3.8 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022 และคาดการณ์ว่าจะเติบโตเป็น 9.1 พันล้านดอลลาร์ในอีก 10 ปีข้างหน้า
แบรนด์ใหญ่หนึ่งที่ได้นำเทคโนโลยีกระจกอัจฉริยะมาใช้ในร้านคือ MAC Cosmetics ซึ่งติดตั้ง AR Mirrors ภายในร้าน เพื่อให้ลูกค้าสามารถลองเครื่องสำอางเฉดต่างๆ ได้แบบเสมือนจริงโดยไม่ต้องสัมผัสสินค้า
กระจก AR เหล่านี้ช่วยให้ลูกค้าในร้านสามารถลองเครื่องสำอางหรือสินค้าได้โดยไม่ต้องสัมผัสจริง เหมาะกับผู้ที่ไม่อยากทดลองหลายเฉดสีหรือหลีกเลี่ยงการใช้สินค้าร่วมกับผู้อื่น อย่างไรก็ตาม หากต้องการติดตั้ง AR Mirrors ในร้าน ควรพิจารณาเรื่องงบลงทุนให้รอบคอบ เพราะต้นทุนของจอแสดงผลและซอฟต์แวร์ที่ต้องพัฒนาสำหรับใช้งานนั้นค่อนข้างสูง โดยเฉพาะหากต้องการขยายไปยังหลายสาขา
6. การใช้ AR สร้างเกมในร้าน
จากผลสำรวจของ Modern Retail พบว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่ยังมองว่าเทคโนโลยี AR เป็นสิ่งที่ให้ความบันเทิงมากกว่าการใช้งานจริง นั่นจึงทำให้หลายแบรนด์เริ่มตั้งคำถามว่า “ถ้าเราใช้ AR เพื่อทำให้การช้อปในร้านสนุกขึ้นล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น?”
หนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจคือแบรนด์ซูเปอร์มาร์เก็ตชื่อดังจากสหราชอาณาจักร Tesco ที่ร่วมมือกับบริษัท Engine Creative พัฒนา AR ภายในแอป Tesco Discover เพื่อให้ลูกค้าสามารถสแกนสินค้าและเล่นเกมระหว่างช้อปได้จริง ผลลัพธ์คือแบรนด์ได้รับการมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้น ความภักดีของลูกค้า สูงขึ้น และลูกค้าใช้เวลาในร้านนานกว่าเดิม
หากคุณอยากเริ่มใช้แนวคิด AR Shopping แบบ Gamification นี่คือคำแนะนำหลักที่ควรคำนึงถึง
- เชื่อมประสบการณ์ AR กับสินค้าเฉพาะในร้าน เช่นเดียวกับตัวอย่างของ Tesco เพื่อหลีกเลี่ยงการต้องสร้างโมเดล 3D จำนวนมากที่ใช้เวลาและงบประมาณสูง
- ใช้ QR Code เพื่อให้ลูกค้าเริ่มประสบการณ์ AR ได้ง่ายผ่านกล้องสมาร์ตโฟน และสามารถจำกัดพื้นที่ใช้งานให้อยู่เฉพาะโซนในร้านที่ต้องการ
- เทรนด์นี้มีข้อดีคือ ลูกค้ารุ่นใหม่คุ้นเคยกับแนวคิดเกมในโลกจริง จากเกมดังอย่าง Pokémon Go อยู่แล้ว ทำให้เข้าใจวิธีเล่นและใช้งาน AR ได้ทันทีโดยไม่ต้องสอน
การผสมผสาน AR กับเกมในร้าน ไม่เพียงเพิ่มความสนุกให้กับลูกค้า แต่ยังสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้งและยั่งยืน
ตัวอย่างแบรนด์ที่ใช้ AR ในร้านค้า
เราพูดถึงตัวอย่างของ AR Shopping ไปบ้างแล้ว แต่ยังมีอีกหลายแบรนด์ที่ใช้เทคโนโลยีนี้ร่วมกับเครื่องมือของ Shopify AR เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้า มาดูกันว่ามีใครบ้าง
Cambridge Satchel
แบรนด์กระเป๋าชื่อดังจากสหราชอาณาจักร Cambridge Satchel เป็นลูกค้าของ Shopify มาตั้งแต่ปี 2017 หลังจากย้ายระบบมาเพื่อปรับลดต้นทุน ปัจจุบันแบรนด์ใช้ฟีเจอร์ของ Shopify อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงฟังก์ชัน AR Shopping ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถ “ลองแมตช์” กระเป๋ากับเสื้อผ้าหรือสไตล์ของตัวเองได้
ลูกค้าสามารถดูภาพจำลองสามมิติของกระเป๋าแต่ละรุ่นซ้อนกับภาพจริงจากกล้องมือถือ เพื่อดูว่าสีและดีไซน์ของกระเป๋าเข้ากับลุคของตนหรือไม่ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า AR Shopping สามารถเชื่อมโลกแฟชั่นกับเทคโนโลยีได้อย่างกลมกลืน

ความจริงที่ว่าพวกเขาสามารถมอบประสบการณ์แบบ AR ให้ลูกค้าได้ในงบประมาณที่จำกัด ถือเป็นข้อได้เปรียบที่ช่วยให้แบรนด์มีโอกาสแข่งขันในระดับเดียวกับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีทรัพยากรมากกว่า ตามคำกล่าวของผู้ก่อตั้ง Julie Deane
ลูกค้าของ Cambridge Satchel ชื่นชอบฟีเจอร์นี้เพราะสามารถลองถือกระเป๋าในรูปแบบเสมือนจริงได้ก่อนตัดสินใจซื้อ ทำให้มั่นใจในสีและขนาดมากขึ้น
Complex Networks
ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้หลายธุรกิจต้องปรับรูปแบบการดำเนินงาน และ Complex Networks ซึ่งเป็นบริษัทด้านสื่อและบันเทิงที่จัดงานอีเวนต์ประจำปีชื่อ ComplexCon ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
เมื่อไม่สามารถจัดงานในสถานที่จริงได้ในปี 2020 บริษัทจึงหันมาใช้เครื่องมือ AR ของ Shopify เพื่อเปลี่ยนงานทั้งหมดให้เป็นกิจกรรมดิจิทัลเต็มรูปแบบ กลายเป็นประสบการณ์ช้อปปิ้งเสมือนจริงแบบอินเทอร์แอกทีฟครั้งแรกที่ผู้เข้าร่วมสามารถสำรวจร้านค้า พบแบรนด์ต่างๆ และร่วมสนุกได้เหมือนอยู่ในงานจริง
ผลลัพธ์ของงานนั้นประสบความสำเร็จเกินคาด และ Complex Networks ยังคงใช้รูปแบบกิจกรรมออนไลน์แบบนี้เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้ชมมาจนถึงปัจจุบัน
Gunner Kennels
Gunner Kennels Gunner Kennels เป็นบริษัทที่ผลิตกรงสุนัขคุณภาพสูงสำหรับใช้ในการเดินทาง จุดเด่นของแบรนด์คือความปลอดภัยและความทนทาน แต่การเลือกขนาดกรงที่เหมาะสมจากการซื้อออนไลน์อาจเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าของสัตว์เลี้ยง
เพื่อแก้ปัญหานี้ Gunner Kennels ใช้เครื่องมือ AR ของ Shopify พัฒนาระบบให้ลูกค้าสามารถวางโมเดลสามมิติของกรงสุนัขไว้ข้างภาพสุนัขของตน เพื่อดูว่าขนาดพอดีหรือไม่ ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น และลดปัญหาการคืนสินค้าหลังการซื้อ

การเพิ่มฟีเจอร์ช้อปปิ้งแบบ AR ของ Gunner Kennels ช่วยเพิ่มอัตราการสั่งซื้อสำเร็จขึ้นถึง 40% และลดอัตราการคืนสินค้าลง 5% จากผลลัพธ์ที่น่าพอใจนี้ บริษัทมีแผนจะขยายการใช้เทคโนโลยีนี้ไปยังสินค้าอื่นในอนาคต
Rebecca Minkoff
อีกหนึ่งแบรนด์กระเป๋าชื่อดังอย่าง Rebecca Minkoff ก็ได้นำเทคโนโลยี AR ของ Shopify มาใช้เพื่อยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ โดยใช้การสร้างภาพสามมิติร่วมกับ AR เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกใกล้ชิดกับสินค้าในคอลเลกชันมากขึ้น
Uri Minkoff ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์กล่าวว่า สื่อแบบสามมิติช่วยให้ประสบการณ์การช้อปปิ้งมีความอินเทอร์แอกทีฟมากขึ้น ลูกค้าสามารถดูสินค้าได้จากทุกมุม รวมถึงเปิดดูในรูปแบบเสมือนจริงเพื่อเห็นรายละเอียด ขนาด และคุณภาพได้ชัดเจนขึ้น
หลังจากเปิดใช้ฟีเจอร์เหล่านี้ ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น 27% หลังจากชมสินค้าในรูปแบบสามมิติ และเพิ่มขึ้นถึง 65% หลังจากโต้ตอบกับสินค้าในโหมด AR
แอป AR Shopping ที่ดีที่สุดในตอนนี้
ในบรรดาแอปที่รองรับเทคโนโลยี AR สำหรับการช้อปปิ้ง ปัจจุบันมีสองแพลตฟอร์มที่โดดเด่นและใช้งานได้จริงที่สุด ได้แก่ Shopify และ Amazon
Shopify AR
หากคุณต้องการเป็นเจ้าของเว็บไซต์และร้านค้าของตัวเองโดยไม่ต้องขายผ่านแพลตฟอร์มของบุคคลที่สามอย่าง Amazon เครื่องมือ Shopify AR คือคำตอบ เพราะช่วยให้คุณนำสื่อสินค้าในรูปแบบสามมิติและวิดีโอมาแสดงบนหน้าร้านออนไลน์ได้โดยตรง
ด้วย Shopify AR ลูกค้าสามารถดูขนาด รูปร่าง และฟังก์ชันของสินค้าได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อ และลดอัตราการคืนสินค้าอย่างเห็นได้ชัด
จากตัวอย่างที่กล่าวไปก่อนหน้า เครื่องมือ AR ของ Shopify ช่วยสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่มีคุณภาพกว่าเดิม ทั้งเพิ่มยอดขายและสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าในระยะยาว
Amazon
ในฐานะหนึ่งในตลาดออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Amazon เป็นแพลตฟอร์มที่ผู้บริโภครู้จักและใช้งานเป็นประจำ โดยเฉพาะกับฟีเจอร์ดูสินค้าในห้องของคุณ ซึ่งเปิดให้ใช้กับสินค้าขนาดใหญ่ เช่น เฟอร์นิเจอร์หรือโทรทัศน์
ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถดูว่าสินค้าจะมีลักษณะอย่างไรเมื่อตั้งอยู่ในบ้านของตนเอง ช่วยให้ตัดสินใจได้แม่นยำและมั่นใจมากขึ้นก่อนทำการสั่งซื้อ
ถึงเวลาใช้ AR สร้างประสบการณ์ใหม่ให้ร้านของคุณ
เทคโนโลยีเสมือนจริงหรือ AR ที่เคยดูเหมือนเรื่องไกลตัวเมื่อไม่กี่ปีก่อน ตอนนี้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ลูกค้าช้อปได้อย่างมั่นใจและเพลิดเพลินมากขึ้น
เทรนด์ของ AR Shopping ยังคงเติบโตต่อเนื่อง และนี่คือช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการก้าวนำคู่แข่ง ด้วยการนำเทคโนโลยีนี้มาสร้างประสบการณ์ใหม่ในร้านค้าออนไลน์ของคุณ
หากอยากเริ่มต้น ลองดูคู่มือ AR ของ Shopify ที่จะช่วยแนะนำขั้นตอนการนำสินค้าของคุณเข้าสู่โลกเสมือนจริงได้อย่างง่ายและมืออาชีพ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ AR Shopping
AR Shopping จะกลายเป็นรูปแบบการช้อปปิ้งหลักของอนาคตได้หรือไม่
“มีโอกาสสูงมาก” เพราะเทคโนโลยี AR ไม่ได้เป็นเพียงแค่กระแสชั่วคราว แต่กำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การช้อปปิ้งยุคใหม่ที่ทั้งสะดวก สมจริง และช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ตอนนี้มีเทรนด์ AR Shopping ไหนที่น่าสนใจบ้าง
เทรนด์ที่มาแรงในตอนนี้ ได้แก่ การลองสินค้าเสมือนจริงหรือโชว์รูมออนไลน์ การติดตั้งกระจก AR ในร้านค้าจริง การค้นหาสินค้าด้วยภาพที่ใช้เทคโนโลยี AR รวมถึงฟีเจอร์ค้นหาโปรโมชั่นหรือสินค้าผ่านกล้องในแอป
AR ถูกนำมาใช้ในการช้อปปิ้งอย่างไร
ผู้บริโภคใช้ AR เพื่อทดลองเสื้อผ้า รองเท้า หรือเครื่องสำอางแบบเรียลไทม์ รวมถึงลองวางเฟอร์นิเจอร์หรือของแต่งบ้านในพื้นที่จริง เพื่อดูว่าเข้ากันหรือไม่ก่อนซื้อ ขณะเดียวกันในร้านค้าจริงก็เริ่มมีห้องลองเสื้อแบบเสมือนจริง และฟีเจอร์ค้นหาสินค้าหรือส่วนลดผ่านกล้องมือถือ ทำให้การช้อปทั้งสนุกและสะดวกขึ้นกว่าเดิม


